การปลูกผมไร้แผลเย็บ (FUE) และ ศัลยกรรมปลูกผมแบบทั่วไป (Strip FUT) บางครั้งอาจดูว่าเป็นวิธีการปลูกผมที่แตกต่างกัน แต่จริงๆ แล้ว ปลูกผม FUE ก็คือวิธีหนึ่งในการย้ายเซลผมออกมานั่นเอง โดยที่ย้ายกอผมออกมาจากหนังศรีษะโดยตรง ไม่ต้องตัดหนังศรีษะออกมาเป็นชิ้นแล้วไปแยกเป็นแต่ละกอผมอีกทีโดยใช้กล้องจุลทรรศน์
สารบัญเนื้อหา
รู้ทันสาเหตุหลักผมร่วง
1. ผมร่วงจากฮอร์โมน
ฮอร์โมนเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ผมร่วงได้มาก จะพบอาการผมร่วงด้วยสาเหตุนี้มากในผู้ชายวัยกลางคน และในผู้หญิงหลังคลอด
ในผู้ชายฮอร์โมนที่ทำให้ผมร่วงได้คือฮอร์โมนในกลุ่มฮอร์โมนแอนโดรเจน ที่มีชื่อว่า DHT (Dihydrotestosterone) ฮอร์โมนตัวนี้จะไปจับกับรากผม ทำให้วงจรชีวิตเส้นผมเปลี่ยนไปจนผมงอกได้น้อยลง ผมร่วงไวขึ้น ท้ายที่สุดจะทำให้ผมร่วง หัวล้านอย่างถาวร และต้องแก้ปัญหาด้วยการปลูกผม FUE หรือการปลูกผมถาวรวิธีอื่นต่อไป
ส่วนผมร่วงหลังคลอด เป็นอาการที่เกิดจากระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้เส้นผมส่วนใหญ่บนหนังศีรษะร่วงออกพร้อมกันจนผมบางชั่วขณะ แต่อาการผมร่วงแบบนี้ไม่จำเป็นต้องรักษาด้วยการปลูกผม FUE เพียงแค่รอเวลาประมาณ 6 เดือน ผมก็จะขึ้นมาเป็นปกติดังเดิม
2. ผมร่วงกรรมพันธุ์
กรรมพันธุ์เป็นตัวกำหนดปัจจัยหลายๆ อย่างของร่างกาย ทั้งรูปลักษณ์ การทำงานของร่างกาย รวมไปถึงโรคต่างๆ ที่ส่งต่อผ่านกรรมพันธุ์
โรคที่ทำให้ผมร่วง หรือปัจจัยบางอย่างที่ทำให้ผมร่วงง่ายกว่าปกติก็ส่งต่อผ่านกรรมพันธุ์เช่นกัน ซึ่งโรคดังกล่าวจะเรียกว่าโรคหัวล้านกรรมพันธุ์ (Androgenetic Alopecia)
ในเพศชายจะพบโรคนี้ได้มากกว่าเพศหญิง โรคนี้จะทำให้ตัวรับฮอร์โมนบริเวณรากผมทำงานได้ดีมากขึ้น จนผมถูกรบกวนจากฮอร์โมน ทำให้ผมงอกได้น้อยลง ร่วงไวขึ้น ท้ายที่สุดจะทำให้หัวล้านถาวรโดยเฉพาะบริเวณผมด้านหน้าและกลางศีรษะ จำเป็นต้องแก้ไขด้วยการปลูกผมถาวรอย่างการปลูกผม FUE
ส่วนโรคหัวล้านกรรมพันธุ์ส่งผลกับสุขภาพเส้นผมของผู้หญิงอย่างไรนั้นยังไม่ปรากฏชัดเจนมากนัก เพียงแต่ผู้ที่เป็นโรคดังกล่าว จะเริ่มผมร่วงมากกว่าปกติในช่วงอายุ 15 – 40 ปี เมื่อผมร่วงไปเรื่อยๆ ผมจะเริ่มบางจนศีรษะล้านกลางศีรษะเป็นหลัก ทั้งยังรักษาได้ยากกว่าอาการหัวล้านกรรมพันธุ์ในผู้ชาย บางกรณีแพทย์ก็ไม่แนะนำให้ปลูกผม FUE หรือปลูกผมถาวรวิธีอื่นๆด้วย เพราะอาจทำให้อาการแย่ลง
3. ผมร่วงจากโรคต่าง ๆ
โรคต่างๆเป็นสาเหตุทำให้ผมร่วงได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม
โรคที่ทำให้ผมร่วงในทางตรงส่วนใหญ่จะเป็นโรคเกี่ยวกับหนังศีรษะ ทำให้หนังศีรษะติดเชื้อ อักเสบ จนส่งผลต่อการสร้างเคราตินของต่อมผม เช่น โรคผมร่วงฉับพลันทั่วศีรษะ (Telogen Effluvium), โรคผมร่วงเป็นหย่อม (Alopecia Areata), หรือโรคกลากเชื้อราบนหนังศีรษะ (Tinea Capitis)
นอกจากโรคทางกายภาพแล้ว โรคทางจิตใจ ความเครียด ที่ส่งผลกับพฤติกรรม อย่างเช่นโรคดึงผมตัวเอง (Trichotillomania) ก็สามารถทำให้ผู้ป่วยดึงผมตัวเองจนผมร่วงทั่วศีรษะ หรือหายไปเป็นหย่อมได้เช่นเดียวกัน ซึ่งโรคแบบนี้ควรรักษาที่พฤติกรรมก่อน หากมีปัญหาที่หนังศีรษะร่วมด้วยจึงส่งต่อให้แพทย์ด้านเส้นผมและหนังศีรษะดูแลในภายหลัง
ส่วนโรคที่ทำให้ผมร่วงทางอ้อม มักเป็นโรคที่ทำให้ร่างกายเข้าสู่ภาวะวิกฤติ อย่างเช่นมีไข้สูงมาก ขาดเลือดระยะหนึ่ง ขาดสารอาหาร หรืออื่นๆ เนื่องจากภาวะเหล่านี้จะทำให้ร่างกายเกิดความเครียด ส่งผลต่อการทำงานในระบบต่างๆ ทำให้ต่อมผมหยุดทำงานชั่วขณะ จนผมร่วงพร้อมกันทั้งศีรษะ บางครั้งอาการป่วยก็กระตุ้นให้รากผมอักเสบจนผมร่วงได้เช่นเดียวกัน
ในเรื่องการรักษา ผมจะเริ่มขึ้นมาเองหลังจากผมร่วงไปโดยไม่ต้องรักษา แต่หากผมร่วงจากการอักเสบหรือการติดเชื้อ หลังอาการเหล่านั้นหายไปอาจทิ้งรอยแผลเป็นไว้ในบริเวณที่ผมร่วงจนต่อมผมถูกทำลายและไม่สามารถสร้างเส้นผมขึ้นมาใหม่ได้อีก
ในกรณีนี้จะต้องรักษาด้วยการปลูกผมถาวรลงในแผลเป็นเท่านั้น โดยวิธีที่นิยมทำกันคือการปลูกผม FUE เนื่องจากเป็นการปลูกในพื้นที่เล็ก ไม่ต้องใช้รากผมมาก และยังไม่ทำให้เกิดแผลเป็นเพิ่มอีกด้วย
4. ผมร่วงจากความเครียด
ความเครียดเป็นสภาวะทางจิตใจที่ส่งผลกับร่างกายได้มากกว่าที่คิด บางครั้งความเครียดอาจทำให้ระบบร่างกายเสียสมดุล โดยเฉพาะระบบฮอร์โมน เมื่อระดับฮอร์โมนบางตัวอย่างเทสโทสเตอโรนหรือเอสโตรเจนเปลี่ยนไป ก็สามารถทำให้ผมร่วงชั่วคราวได้
5. ผมร่วงจากยา
ยาหรือวิธีการรักษาโรคอื่นๆ สามารถทำให้ผมร่วงได้ จากการทำให้ต่อมผมหรือผิวหนังโดยรอบอักเสบ, ความดันเลือดสูงจนเส้นเลือดฝอยเสียหาย, หรือส่งผลกับฮอร์โมนจนทำให้ผมร่วงได้ในที่สุด
6. ผมร่วงจากพฤติกรรม
พฤติกรรมต่างๆทำให้ผมร่วงได้โดยไม่รู้ตัว อย่างเช่นการทานอาหารไม่มีประโยชน์จนขาดสารอาหารที่จำเป็นต่อการสร้างเส้นผมไป, การสูบบุหรี่ที่จะไปเพิ่มฮอร์โมน DHT ต้นเหตุของผมร่วง, การดื่มสุราทำให้ความดันสูงอย่างเรื้อรังจนเส้นเลือดฝอยถูกทำลาย ทำให้เลือดไปเลี้ยงเส้นผมไม่พอ, หรือแม้กระทั่งพฤติกรรมการดูแลผมที่ผิดวิธี อย่างการมัดผมตึง หวีผมแรงๆ เซต ดัด ยืด ย้อมผม ก็ทำให้ผมร่วงได้มากเช่นกัน
ที่จริงแล้ว ผมร่วงเป็นเรื่องปกติที่จะเกิดขึ้นอยู่เสมอ เนื่องจากเส้นผมมีวงจรชีวิตเป็นของตัวเอง เส้นผมจะงอกและเติบโตขึ้นเรื่อยๆบนศีรษะของเราประมาณ 2 – 6 ปี หลังจากนั้นเส้นผมจะหยุดเติบโตระยะหนึ่งก่อนจะร่วงออก และมีเส้นผมชุดใหม่งอกขึ้นมาแทนที่
คนเรามีรูขุมขนบนศีรษะประมาณ 50,000 รูขุมขน ดังนั้นวันหนึ่งๆ ผมของเราสามารถร่วงได้มากถึง 100 เส้นเป็นเรื่องปกติ แต่หากร่วงมากกว่านี้ก็ควรพบแพทย์ เพื่อหาสาเหตุและรักษาอาการผมร่วงต่อไป
วิธีรักษาผมร่วงที่แนะนำ
ก่อนตัดสินใจเข้ารับการรักษาด้วยการปลูกผม FUE จะต้องรู้เกี่ยวกับการรักษาวิธีอื่นๆ ด้วย เนื่องจากการปลูกผม FUE เป็นการแก้ปัญหาผมบาง ศีรษะล้านที่ปลายเหตุ และนิยมทำให้กรณีที่หัวล้านจนต่อมผมเสียหาย และผมไม่สามารถกลับมางอกได้อีก
แต่หากอาการหัวล้านยังไม่รุนแรงมากนัก เพียงแค่ผมบางลง แต่รากผมยังสามารถงอกผมได้อยู่ แพทย์จะแนะนำให้รักษาด้วยวิธีการอื่นๆ ก่อนการปลูกผม FUE ซึ่งวิธีการรักษาอาการผมบาง ศีรษะล้านมีด้วยกันหลายวิธี ดังนี้
1. การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเป็นขั้นแรกของการแก้ปัญหาผมร่วงหัวล้านด้วยตนเอง เพราะเป็นวิธีการที่ง่ายที่สุด และยังต้องทำควบคู่ไปกับการรักษาวิธีอื่นด้วย
พฤติกรรมหลายอย่างของคนเราอาจทำให้ผมร่วงโดยไม่รู้ตัว สิ่งที่ควรทำคือปรับเปลี่ยนพฤติกรรมต้นเหตุอาการผมร่วง ดังนี้
- ทานอาหารบำรุงผม อาหารที่มีประโยชน์
- ลด ละ เลิกการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่
- นอนพักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ผ่อนคลายความเครียด
- หวีผมเพื่อกระตุ้นหนังศีรษะเบาๆเป็นประจำ
- ไม่มัดผมตึงเกินไป
- หลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีกับเส้นผม ทั้งย้อมสีผม ดัดผม และยืดผม
การปรับพฤติกรรมเพื่อหลีกเลี่ยงสาเหตุที่ทำให้ผมร่วงในเบื้องต้น จึงเป็นสิ่งที่ต้องทำหากอยากมีผมดกหนา สุขภาพดี
2. การใช้ยาแก้ผมร่วง
การใช้ยาแก้ผมร่วงเป็นทางเลือกแรกๆของการรักษาอาการผมร่วงทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย เนื่องจากไม่ต้องพบแพทย์บ่อย ไม่ต้องเจ็บตัวฉีดยาหรือผ่าตัด โดยยาแก้ผมร่วงที่นิยมใช้กันในประเทศไทยมีด้วยกัน 2 ตัวยา ได้แก่ ยาไฟแนสเตอรายด์ (Finasteride) และยาไมนอกซิดิวล์ (Minoxidil)
ยาไฟแนสเตอรายด์จะใช้สำหรับแก้ผมร่วงในผู้ชายเท่านั้น ตัวยาจะออกฤทธิ์กระตุ้นให้เส้นผมงอกได้ดีขึ้น ทั้งยังไปลดการสร้างฮอร์โมน DHT ในเนื้อเยื่อต่างๆ ทำให้ผมร่วงน้อยลง และงอกได้ดีมากขึ้น ส่วนผลข้างเคียงนั้น ยาดังกล่าวอาจทำให้สมรรถภาพทางเพศลดลงในระยะหนึ่ง แต่ถ้าใช้ยาไปเรื่อยๆ หรือหยุดใช้ อาการข้างเคียงจะหายไปเอง
ส่วนยาไมนอกซิดิวล์ จะช่วยออกฤทธิ์ขยายหลอดเลือด กระตุ้นให้รากผมงอกผมได้ดีขึ้น วงจรชีวิตเส้นผมยาวนานขึ้น ร่วงช้าลง ตัวยามีทั้งแบบน้ำและแบบเม็ดใช้ทาน สามารถใช้ได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง ส่วนผลข้างเคียงนั้น ยาชนิดทาอาจจะให้ผิวแห้ง ส่วนยาชนิดทานอาจทำให้ตัวบวม เวียนศีรษะ ใจเต้นแรง หรือขนขึ้นที่ใบหูได้
การใช้ยาแก้ผมร่วงต้องปรึกษาแพทย์ก่อน เนื่องจากมีผลข้างเคียงที่ค่อนข้างรุนแรงหากใช้ผิดวิธี นอกจากนี้การใช้ยายังใช้เวลานานกว่าจะเห็นผล แพทย์อาจจะแนะนำให้รักษาด้วยวิธีการอื่นร่วมด้วยเพื่อให้เห็นผลการรักษาเร็วขึ้น
3. การรักษาแบบทางเลือก
การรักษาแบบทางเลือก เป็นการรักษาด้วยการกระตุ้นรากผม และฟื้นฟูการทำงานของรากผมด้วยวิธีการต่างๆ โดยไม่ต้องใช้ยา ซึ่งการรักษาดังกล่าวมี 3 วิธี ดังนี้
- การทำ PRP ผม – เป็นการฉีดเกล็ดเลือดเข้มข้นจากร่างกายของผู้เข้ารับการรักษาเองเข้าที่หนังศีรษะ เพื่อกระตุ้นการทำงานของเซลล์รากผม ทำให้รากผมแข็งแรงขึ้น ส่งเสริมการสร้างเส้นผมและเส้นเลือดฝอยบริเวณนั้น ส่งผลให้ผมงอกได้ดีขึ้นในระยะยาว
- การฉีดสเต็มเซลล์รากผม – เป็นการฉีดสเต็มเซลล์จากหนังศีรษะของผู้เข้ารับการรักษาเอง ช่วยซ่อมแซมส่วนที่เสียหายบนหนังศีรษะ ส่งเสริมให้สุขภาพเส้นผมและหนังศีรษะโดยรวมดีขึ้น กระตุ้นการทำงานของเซลล์รากผม
- การทำเลเซอร์ – การทำเลเซอร์จะช่วยให้พลังงานกับเซลล์ และกระตุ้นการทำงานของเซลล์บริเวณหนังศีรษะ ทำให้รากผมงอกผมได้ดีขึ้น เลเซอร์ที่นิยมทำเพื่อกระตุ้นรากผมมี 2 ชนิด คือ LLLT Laser และ Fotona Laser ซึ่งโฟโตน่าเลเซอร์นี้เป็นเลเซอร์นวัตกรรมใหม่ นำเข้าจากต่างประเทศ โดย Absolute Hair Clinic ให้บริการเป็นที่แรกในไทยด้วย
การรักษาทางเลือกนิยมใช้ในกรณีที่ผู้เข้ารับการรักษาไม่ต้องการใช้ยาสำหรับทาน อยากเห็นผลการรักษาไวขึ้น หรือนิยมทำควบคู่กับการทานยา และทำหลังจากศัลยกรรมปลูกผม FUE ด้วย
4. ศัลยกรรมปลูกผมถาวร
การศัลยกรรมปลูกผมถาวร เป็นการผ่าตัดเพื่อย้ายรากผมจากตำแหน่งเดิมซึ่งมักจะเป็นบริเวณท้ายทอยหรือหลังกกหู ไปยังตำแหน่งที่ไม่มีผม หรือต้องการให้ผมหนาขึ้น โดยการศัลยกรรมปลูกผมถาวรนี้มีด้วยกันหลายวิธี แต่ละวิธีจะแตกต่างกันไปในรายละเอียดบางขั้นตอน วิธีการหลักๆ ที่ใช้กันจะมี 2 วิธี ได้แก่ปลูกผม FUT และปลูกผม FUE
การปลูกผม FUT เป็นการปลูกผมที่ถูกคิดค้นเป็นวิธีแรกๆ โดยวิธีนี้จะย้ายรากผมโดยการตัดหนังศีรษะชั้นบนบางส่วนออกพร้อมรากผม แล้วนำชิ้นหนังศีรษะไปแยกเป็นกอรากผม แล้วจึงนำมาปลูกทีละกอ ข้อเสียคือแผลเย็บจากการตัดหนังศีรษะออกจะทิ้งรอยแผลเป็นไว้หลังการรักษา
ส่วนการปลูกผม FUE จะทำเหมือนกับการปลูกผม FUT ทุกประการ แต่จะต่างกันตรงวิธีการย้ายรากผมออกมาจากหนังศีรษะ การปลูกผม FUE จะใช้เครื่องเจาะทันสมัยเจาะรากผมออกมา ทำให้ไม่ทิ้งแผลเป็นไว้หลังการรักษา
ส่วนวิธีอื่นๆจะเป็นวิธีการที่แยกย่อยออกมาจากการปลูกผม FUE เช่น การปลูกผม DHI คือการปลูกผมแบบ FUE ที่จะปลูกกอรากผมด้วยเครื่องมือ Implanter pen ส่วนการปลูกผม Long Hair DHI หรือ FUE จะเป็นการปลูกผมแบบ FUE ที่จะใช้กอรากผมที่มีผมยาวในการปลูกผมนั่นเอง
ทั้งนี้ การศัลยกรรมปลูกผมถาวรเป็นตัวเลือกสุดท้ายของการรักษาอาการผมบาง หัวล้าน เนื่องจากการผ่าตัดมีความเสี่ยง อีกทั้งการรักษายังไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ นอกจากนี้ผู้ที่ผ่านการปลูกผมมาแล้วอาจมีความเสี่ยงที่ผมส่วนอื่นจะร่วงเพิ่มขึ้นอีกหากไม่ปรับพฤติกรรม หรือไม่รักษาด้วยวิธีการอื่นๆร่วมด้วย
ดังนั้นหลังการรักษาด้วยการศัลยกรรมปลูกผมแพทย์จะแนะนำให้ใช้ยาแก้ผมร่วง หรือใช้การรักษาทางเลือกต่างๆ ควบคู่ไปด้วย เพื่อป้องกันไม่ให้ผมร่วงเพิ่มจนต้องปลูกผมรอบสอง
ปลูกผม FUE คืออะไร
การปลูกผม FUE (Follicular Unit Extraction) คือ วิธีการปลูกผมถาวรแบบหนึ่ง โดยการปลูกถ่ายเซลล์รากผมลงไปในพื้นที่ที่ต้องการ หรือบริเวณที่ผมร่วง ผมบาง ทำให้พื้นที่นั้นมีเซลล์รากผมที่ถาวร เมื่อผมงอกแล้วจะไม่มีการหลุดร่วงซ้ำอีก แผลจากการผ่าตัดมีขนาดเล็กมาก เมื่อแผลหายแล้วจึงสามารถแสกผมหรือโกนผมได้โดยจะไม่เห็นแผลเป็นชัดเจนแต่อย่างใด
ในขั้นตอนการปลูกผม แพทย์จะใช้เครื่องมือไฟฟ้า (Motorized FUE Devices) พร้อมหัวเจาะขนาดเล็ก เจาะลงไปรอบๆ กอผมบริเวณท้ายทอยซึ่งเป็นรากผมที่แข็งแรงกว่าส่วนอื่นๆบนศีรษะ แล้วนำรากผมจากท้ายทอยนั้นมาปลูกถ่ายลงไปในตำแหน่งใหม่ทีละกราฟท์ ในตำแหน่งและทิศทางที่เหมาะสมที่สุด เพื่อให้ผมใหม่ที่งอกออกมาดูสวยงามอย่างเป็นธรรมชาติ
กระบวนการทำงานของการปลูกผม FUE
กระบวนการทำงานของการปลูกผม FUE คล้ายกับการปลูกถ่ายอวัยวะ เป็นการนำอวัยวะใหม่ ซึ่งก็คือ เซลล์ต้นกำเนิดผม หรือเซลล์รากผม (Stem Cell) ปลูกถ่ายลงไปที่ตำแหน่งใหม่บนศีรษะ เมื่อปลูกถ่ายแล้วในระยะเวลาหนึ่ง เซลล์ต้นกำเนิดจะยึดกับเนื้อเยื่อที่อยู่รอบๆ ทำให้ผมที่งอกออกมาใหม่จากเซลล์ต้นกำเนิดนั้น ติดอยู่ในตำแหน่งที่เราต้องการ
แต่การปลูกผม FUE นั้นไม่ได้ยุ่งยากเท่าการปลูกถ่ายอวัยวะ การปลูกผมจะไม่มีอาการที่ร่างกายปฏิเสธอวัยวะ หรือเกิดอาการแพ้เซลล์ใหม่ เพราะเซลล์รากผมใหม่ที่แพทย์นำมาใช้ เป็นเซลล์จากร่างกายของผู้เข้ารับการรักษาเองตั้งแต่ต้น
ปัญหาหนังศีรษะที่ควรแก้ไขด้วยการปลูกผม FUE
การปลูกผม FUE ช่วยแก้ปัญหาศีรษะล้าน ศีรษะเถิก แก้ไขแนวผมที่อาจสูงเกินไป แก้ปัญหาผมบางจากการที่เซลล์รากผมเสื่อมจนไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยวิธีการรักแบบไม่ผ่าตัด เช่น ยาแก้ผมร่วง การ PRP ผม และการทำ Fotona Laser ซึ่งการปลูกผม FUE จะเป็นการแก้ไขปัญหาผมบางอย่างถาวร
ทั้งนี้การปลูกผมด้วยวิธีการดังกล่าวไม่ได้เหมาะกับสภาพผมทุกแบบ การปลูกผมแบบ FUE นั้น ผู้เข้ารับการรักษาจำเป็นต้องมีผมส่วนท้ายทอยที่ยังเยอะ และสมบูรณ์ เพียงพอต่อการปลูกถ่าย หากรากผมไม่แข็งแรงอาจทำให้การปลูกผมไม่ได้ผลเต็มที่ หรือถ้ารากผมมีจำนวนน้อยเกินไปก็อาจไม่เห็นผลการรักษาที่ชัดเจน
ความแตกต่างของการปลูกผม FUE กับ การปลูกผมแบบธรรมดา Strip FUT, DHI และ Long Hair
การปลูกผมแบบ FUE แตกต่างจากการปลูกผมแบบทั่วไป (Strip FUT) คือการปลูกผมแบบ FUE แผลผ่าตัดจะมีขนาดเล็กมาก เนื่องจากในขั้นตอนการนำเซลล์รากผมออกมา แบบ FUE จะเจาะออกมาเพียงส่วนที่ต้องการเท่านั้น
ในขณะที่ ปลูกผม FUT เซลล์รากผมจะได้มาจากการตัดหนังศีรษะส่วนหนึ่งออก แล้วจึงนำผิวหนังส่วนนั้นมาแยกเซลล์รากผมออกภายใต้กล้องจุลทรรศน์ ทำให้การปลูกผมแบบ Strip FUT ทิ้งรอยแผลจากการผ่าตัดด้านหลังไว้มากกว่า และสามารถเห็นแผลเป็นจากการผ่าตัดได้เมื่อผมสั้นเกินไปหรือโกนผม
อ่านบทความเพิ่มเติม : ความแตกต่าง ปลูกผม FUT กับปลูกผม FUE
ส่วนการปลูกผม DHI เป็นการปลูกผมที่แยกย่อยออกมาจากแบบ FUE อีกทีหนึ่ง ขั้นตอนการปลูกผมแบบ DHI จะเหมือน FUE ทุกอย่าง ต่างกันเพียงขั้นตอนการปลูกรากผมลงไป แบบ FUE จะใช้เครื่องมือเจาะหนังศีรษะส่วนที่ต้องการ แล้วใช้คีม (Forceps) คีบรากผมใส่ลงไปในส่วนที่เจาะไว้ ส่วน DHI จะใช้เครื่องมือที่เรียกว่า ปากกาปลูกผมหรือ Implanter ที่จะเจาะหนังศีรษะ และปลูกรากผมลงไปในครั้งเดียว ทำให้ผิวหนังบริเวณที่ปลูกระบมน้อยกว่าแบบ FUE
อย่างไรก็ตาม การแยกปลูกผม DHI ออกมาจาก FUE ทำให้เกิดความสับสน เนื่องจากต่างกันเพียงอุปกรณ์ที่ใช้ สถาบันปลูกผมหลายที่รวมถึง Absolute Hair Clinic ไม่ได้แยกแบบ FUE ออกจาก DHI แพทย์ที่ Absolute Hair Clinic จะใช้ Implanter ในการปลูกผมแบบ FUE ตั้งแต่ต้น เนื่องจากเป็นทางเลือกที่ดีกว่า หากสนใจสามารถอ่านบทความเกี่ยวกับการปลูกผม FUE และ DHI เพิ่มเติมได้ ที่นี่
ส่วนการปลูกผม Long Hair เป็นวิธีปลูกผมผู้หญิงที่ได้รับความนิยม โดยจะแยกย่อยออกมาจาก FUE และ DHI เนื่องจากขั้นตอนการปลูกผมและอุปกรณ์จะสามารถใช้ได้ทั้งแบบ FUE และ DHI ต่างกันเพียงผมที่นำมาปลูก โดยปกติแล้วการปลูกผมแบบอื่นๆ แพทย์จะเตรียมการผ่าตัดด้วยการโกนผมในส่วนที่จะนำรากผมออกไปปลูก แล้วจึงทำการย้ายรากผม แต่การปลูกผมแบบ Long Hair แพทย์จะเจาะรากผมออกมาในตอนที่ผมยังยาวอยู่ ทำให้ไม่เห็นแผลหลังการผ่าตัด และไม่จำเป็นต้องพักฟื้นรอให้ผมงอกด้วย
อย่างไรก็ตาม สภาพหนังศีรษะของผู้เข้ารับการรักษามีผลต่อการเลือกวิธีการรักษา ดังนั้นการที่จะเลือกปลูกผมด้วยวิธีใดนั้นขึ้นกับดุลยพินิจของแพทย์ด้วย
ข้อจำกัดของการปลูกผม FUE
ข้อจำกัดของการปลูกผม FUE คือ ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถปลูกผมด้วยวิธีนี้ได้ เนื่องจากการปลูกผม FUE เป็นการย้ายรากผมที่หนึ่ง ไปปลูกไว้อีกที่หนึ่ง ทำให้ผมส่วนที่ถูกย้ายไป จะไม่มีผมใหม่ขึ้นมาแทนที่
หากพื้นที่ที่ต้องการปลูกต้องใช้ผมจำนวนมากเกินกว่าจำนวนผมที่ท้ายทอยมี ก็จะไม่สามารถสามารถปลูกผม FUE ได้ เนื่องจากหากย้ายรากผมไป ผมในส่วนใหม่ก็จะไม่ดูหนาอย่างที่ควรเป็น และผมที่ท้ายทอยก็จะดูบางเกินไปเช่นกัน
อีกสิ่งหนึ่งที่ต้องพิจารณา คือ ผมที่ต้องการนำมาปลูก แข็งแรงสมบูรณ์ดีอยู่หรือไม่ หากผมไม่สมบูรณ์ ผมใหม่ที่ปลูกจะขึ้นน้อยและบางกว่าที่ควร แพทย์จะไม่แนะนำให้ปลูกผม FUE
ปลูกผม FUE ดีไหม
ปลูกผม FUE ดีไหม? คำตอบคือ ดี แม้การปลูกผม FUE จะมีราคาสูงกว่าการปลูกผมแบบปกติ แต่ก็เป็นการลงทุนระยะยาวอย่างหนึ่ง เพราะเห็นผลจริง และให้ผลลัพธ์ที่ดี ผู้เข้ารับการรักษาจะได้ผมใหม่ที่เหมือนกับผมจริงๆ ในตำแหน่งและทิศทางที่สวยงาม เป็นธรรมชาติ ไม่มีรอยแผลเป็น อีกทั้งผมที่ขึ้นใหม่จะเป็นผมที่แข็งแรงกว่าเดิม ไม่หลุดร่วงง่าย ทำให้มั่นใจได้ว่าจะเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า
ผลลัพธ์หลังการปลูกผม FUE
การปลูกผม FUE ทำให้ได้ผลที่ยาวนาน ไม่หลุดร่วงอีก เนื่องจากเซลล์รากขนเดิมหลุดร่วงไปเพราะฮอร์โมน DHT ซึ่งพบในเพศชายมากกว่าเพศหญิง โดยฮอร์โมน DHT จะส่งผลกับผมบริเวณท้ายทอยน้อยมากเพราะเป็นเส้นผมถาวร เมื่อนำเซลล์รากผมบริเวณท้ายทอยไปปลูกในตำแหน่งใหม่จะทำให้การหลุดร่วงที่เกิดจากฮอร์โมนไม่เกิดซ้ำอีก
การปลูกผมด้วยวิธีนี้มีความเสี่ยงที่ผมจะไม่ขึ้นเช่นกัน เกิดจากสองปัจจัยหลัก
- การดูแลตัวเองหลังการปลูกผม ในช่วงแรกหลังจากการปลูกผม หนังศีรษะในบริเวณที่ปลูกผมจะบอบบางและเป็นสะเก็ดแผล หากผู้เข้ารับการรักษาแกะ เกา ถู หรือกระทบกระแทกบริเวณที่ปลูกผมรุนแรงจนเกินไป จะทำให้เซลล์ที่ปลูกถ่ายลงไปหลุดออก เป็นสาเหตุทำให้ผมในบริเวณที่ปลูกไม่ขึ้นมาอย่างที่ควรเป็น
- การปลูกถ่ายจากแพทย์ที่ไม่ชำนาญ การปลูกผม FUE แพทย์จำเป็นต้องมีความรู้ความสามารถ และความชำนาญในเรื่องการปลูกผมอย่างมาก เนื่องจากการปลูกถ่ายเซลล์เป็นเรื่องละเอียดอ่อน เซลล์ไม่สามารถอยู่นอกร่างกายได้นาน ดังนั้นหากใช้เวลาผ่าตัดนานเกินไป หรือไม่รู้วิธีรักษาสภาพเซลล์รากผมอย่างถูกต้อง ก็จะทำให้เซลล์ตายก่อนที่จะปลูกกลับเข้าไปในร่างกาย ทำให้ผมใหม่ไม่ขึ้นตามต้องการ
ที่ Absolute Hair Clinic จะไม่เกิดการผิดพลาดในการปลูกผมจากปัจจัยดังกล่าว เนื่องจากแพทย์ใช้เทคนิคที่เรียกว่า First out-First in เซลล์รากผมที่ถูกนำออกมาก่อน จะได้รับการปลูกกลับเข้าไปก่อน เพื่อให้เซลล์อยู่นอกร่างกายในระยะเวลาที่สั้นที่สุด
นอกจากนี้ น้ำยาที่ใช้ในการรักษาสภาพเซลล์รากผมยังเป็นน้ำยาที่แพทย์เตรียมเอง ซึ่งเป็นน้ำยาแบบเดียวกับน้ำยาที่ใช้รักษาอวัยวะระหว่างปลูกถ่ายอวัยวะสำคัญ อย่างหัวใจ หรือไต ทั้งนี้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้ผ่าตัดเองทุกกรณีเพื่อให้ผู้เข้ารับการรักษามั่นใจได้ว่าผมจะขึ้นตามต้องการอย่างเป็นธรรมชาติหลังการปลูกผม
รู้จักกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจาก Absolute Hair Clinic
ก่อนและหลังปลูกผม FUE
ราคาการปลูกผม FUE
ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ประมาณ 30,000 บาท ขึ้นอยู่กับจำนวน ‘กราฟท์’ ที่ใช้ในการปลูกผม
สำหรับค่าใช้จ่ายในการปลูกผมอย่างละเอียด สามารถอ่านได้ที่ ปลูกผม ราคาเท่าไหร่ ? ราคาปลูกผม ถูก-แพง ขึ้นอยู่กับอะไรบ้าง ? อัพเดตล่าสุด 2566
กราฟท์คืออะไร?
ในทางการปลูกผม กราฟท์ หมายถึง กอรากผม กราฟท์นึงจะมีผมอยู่ 1-4 เส้น หนึ่งกราฟท์จะปลูกได้หนึ่งตำแหน่งโดยไม่ขึ้นกับจำนวนเส้นในแต่ละกราฟท์ ดังนั้นก่อนการปลูกผมจะต้องประเมินก่อนว่าในบริเวณที่ต้องการปลูกผม ต้องใช้ผมประมาณกี่กราฟท์ โดยผมในแต่ละตำแหน่งจะมีจำนวนกราฟท์ไม่เท่ากัน และความหนาของผมในตำแหน่งนั้นก็เป็นปัจจัยที่แพทย์ต้องพิจารณาเช่นกัน
เนื่องจากการปลูกผม FUE แพทย์จะต้องปลูกผมลงไปใหม่ทีละกราฟท์ ราคาการรักษาจึงขึ้นอยู่กับจำนวนกราฟท์ที่ต้องปลูก โดยจำนวนกราฟท์ที่ต้องใช้ในแต่ละพื้นที่สามารถประเมินได้คร่าวๆ ดังนี้
- พื้นที่ 1 ใช้ประมาณ 500-800 กราฟท์
- พื้นที่ 2 ใช้ประมาณ 1000-1200 กราฟท์
- พื้นที่ 3 ใช้ประมาณ 1200-1500 กราฟท์
- พื้นที่ 4 ใช้ประมาณ 1000-1200 กราฟท์
- พื้นที่ 5 ใช้ประมาณ 1500 กราฟท์
- พื้นที่ 6 ใช้ประมาณ 1500-1800 กราฟท์
ทั้งนี้การประเมินดังกล่าวสามารถปรับเปลี่ยนไปได้ตามสภาพของรากผม หรือประมาณผมเดิมในพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้ประเมินโดยละเอียดต่อไป
ขั้นตอนการปลูกผม FUE
1. ออกแบบและวาดแนวผมที่ต้องการปลูก โดยออกแบบจากความต้องการของผู้เข้ารับการรักษา ร่วมกับคำแนะนำของแพทย์
2. โกนผมบริเวณดังกล่าวให้สั้นเพื่อสะดวกในการผ่าตัด
3. เมื่อเริ่มผ่าตัด แพทย์จะฉีดยาชาในบริเวณที่เลือกไว้ เมื่อยาชาออกฤทธิ์ แพทย์จะเริ่มเจาะกราฟท์ผมด้วยเครื่องมือที่เรียกว่า Trivellini ซึ่งเป็นเครื่องมือเฉพาะที่สามารถปรับค่าต่างๆ ตามความเหมาะสมของสภาพหนังศีรษะและเส้นผมของแต่ละคน เป็นเครื่องที่มีประสิทธิภาพสูง ใช้ร่วมกับหัวเจาะรูปคล้ายปากแตร (Trivellini’s Flared Rim Punch) ขนาดประมาณ 0.8-0.95 มม. ทำให้สามารถเจาะได้ 1,000-1,500 กราฟท์ต่อชั่วโมง กราฟท์ที่ได้มีสภาพสมบูรณ์ ไม่ขาดเสียหาย และทิ้งรอยให้เล็กที่สุดเท่าที่จะเป็นได้
4. ระหว่างที่รากผมอยู่ภายนอกร่างกาย แพทย์จะเก็บรักษาเซลล์รากผม (กราฟท์) ด้วยน้ำยาแบบเดียวกับการปลูกถ่ายอวัยวะสำคัญ รวมถึงควบคุมอุณหภูมิให้อยู่ระหว่าง 4-8 องศาเซลเซียส เพื่อให้เซลล์รากผมอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ที่สุด ก่อนจะปลูกถ่ายกลับเข้าไปในร่างกาย
5. เมื่อถึงขั้นตอนการปลูกผม แพทย์จะเจาะรูในตำแหน่งที่ต้องการปลูก เพื่อกำหนดความหนาแน่น, ตำแหน่งและทิศทางของแนวผมให้เป็นธรรมชาติ จากนั้นแพทย์จะปลูกผมกลับไปด้วยเทคนิค First out- First in ปลูกกราฟท์ที่ถูกเจาะออกมาก่อนกลับเข้าไปในร่างกายก่อน เพื่อให้เซลล์อยู่นอกร่ายกายเป็นเวลาสั้นที่สุด และแพทย์จะใช้ปากกาปลูกผม (Implanter) ปลูกผมทีละกราฟท์ลงไปในตำแหน่งใหม่
การเตรียมตัวก่อนการผ่าตัดปลูกผม FUE
- แจ้งแพทย์ก่อนทุกครั้งในกรณีที่เป็นโรคประจำตัว หรือจำเป็นต้องทานยาเป็นประจำ
- งดรับประทานยาหรืออาหารเสริมที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น พลาวิกซ์ (Plavix), แอสไพริน (Aspirin), วิตามินอี (Vitamin E), น้ำมันปลา (Fish oil), โสม หรือสมุนไพรอื่นๆ อย่างน้อย 7 วัน
- งดการใช้ Rogaine หรือ Minoxidil ที่เป็นสารช่วยในการเจริญเติบโตของเส้นผมอย่างน้อย 7 วัน
- ในกรณีของผู้ป่วยโรคความดันสูงที่ใช้ยา Beta Blocker จำเป็นต้องแจ้งแพทย์เพื่อขอเปลี่ยนยาก่อนผ่าตัดอย่างน้อย 7 วัน เนื่องจากอาจมีผลกับยาชาที่ใช้ในการผ่าตัด
- งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบุหรี่ก่อนและหลังการผ่าตัด 48 ชั่วโมง
- หากต้องการย้อมสีผมให้ทำก่อนวันผ่าตัด 1-2 วัน เนื่องจากหลังการปลูกผมไม่สามารถทำสีผมได้เป็นเวลา 1 เดือน
- พักผ่อนให้เพียงพอเป็นเวลาอย่างน้อย 6 ชั่วโมง
- คืนก่อนการผ่าตัด และเช้าวันผ่าตัดให้สระผมด้วย Betadine Scrub หรือ Hibitane Scrub ที่แพทย์ให้ใช้
- ในวันผ่าตัดให้สวมเสื้อผ่าหน้า หรือเสื้อที่หลวมใส่สบาย เนื่องจากหลังผ่าตัดไม่ควรสวมเสื้อที่ต้องกระทบศีรษะบริเวณที่ผ่าตัดเมื่อต้องสวมเข้าหรือถอดออก
- งดดื่มชาและกาแฟก่อนการผ่าตัด
- ควรมีผู้ดูแลมาด้วยในวันผ่าตัด และไม่ควรขับรถมาเอง เนื่องจากต้องใช้ยานอนหลับในระหว่างผ่าตัด ทำให้มีอาการสะลึมสะลือได้เมื่อผ่าตัดเสร็จ
การดูแลหลังการผ่าตัดปลูกผม FUE
หลังการผ่าตัด 24 ชั่วโมง ไม่ควรจับ ซับเลือด แกะ เกา หรือกระทำการใดๆก็ตามกับแผลผ่าตัด เนื่องจากรากผมยังไม่เชื่อมติดกับผิวหนังส่วนใหม่ที่ปลูกผมลงไป หากสัมผัสแผลอาจทำให้รากผมหลุดออกได้ หลังผ่าตัดควรพันผ้าทิ้งไว้ 24 ชั่วโมง เมื่อครบเวลาจึงนำผ้าออกได้ หลังจากถอดผ้าพันแผลออกแล้ว มีวิธีการดูแลตนเองดังนี้
การดูแลผม และการทำความสะอาดแผล
หลังปลูกผมทาง Absolute Hair Clinic มีบริการสระผมที่คลินิกโดยเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญ เจ้าหน้าที่จะสอนวิธีการสระผม และสระผมให้ใน 4 วันแรกหลังการปลูกผม คลินิกจะกระตุ้นหนังศีรษะด้วยแสงเลเซอร์พลังงานต่ำ เพื่อ ลดบวม เพิ่มเลือดไปเลี้ยงกราฟท์ ลดอาการปวด อักเสบ กระตุ้นการทำงานของเซลล์รากผม ทำให้การปลูกผมได้ผลมากยิ่งขึ้น หลังจากนั้นในสัปดาห์แรกหลังการผ่าตัด ให้สระผมอย่างน้อยวันละ 1 ครั้งด้วยแชมพูที่แพทย์จ่ายให้ หลังจากนั้นสามารถใช้ยาสระผมยี่ห้ออื่นได้ตามปกติ
ขั้นตอนการสระผมมีดังนี้
- ใช้น้ำอุณหภูมิปกติล้างบริเวณที่ผ่าตัด ระวังอย่าให้น้ำแรงจนเกินไป เพราะรากผมอาจหลุดออกไปได้
- เทแชมพูลงบนผ่ามือ ถูกับมือให้เกิดฟองก่อนชโลมโดยการใช้ฝ่ามือแตะเบาๆ ที่หนังศีรษะบริเวณที่ปลูกผม ห้ามนวดหรือถู ทิ้งไว้ 2-3 นาทีให้ฟองแชมพูละลายสิ่งสกปรกออกไปเอง
- ล้างออกด้วยน้ำเบาๆ
- สามารถใช้ครีมนวดผมได้ แต่ต้องใช้เฉพาะบริเวณเนื้อผม ห้ามโดนหนังศีรษะบริเวณที่ผ่าตัด
- ทำให้ผมแห้งโดยการซับเบาๆ หรือใช้เครื่องเปล่าผมแรงลมระดับเบาเป่าให้แห้ง ห้ามใช้ลมร้อน เนื่องจากความร้อนมีผลต่อรากผมที่ปลูก
- หากบริเวณแผลผ่าตัดมีสะเก็ดที่เกิดจากเลือดและน้ำเหลืองมากเกินไปให้ใช้น้ำมันมะกอกชะโลมบริเวณที่เป็นสะเก็ด ทิ้งไว้ก่อนสระผม 10 นาทีเพื่อให้สะเก็ดเหล่านั้นหลุดออกได้ง่ายเมื่อสระผม
- สามารถสระผมได้ตามปกติหลังจากปลูกผม 1 เดือน
- สามารถใช้ผลิตภัณฑ์จัดแต่งทรงผมได้หลังจากปลูกผม 1 สัปดาห์ แต่ต้องระวังไม่ให้สัมผัสกับแผล, กราฟท์
- สามารถทำสีผมได้หลังจากปลูกผม 1 เดือน
การนอน
หลังการผ่าตัด ควรนอนหงายหรือตะแคง เพื่อไม่ให้ผมที่ปลูกถูกับหมอน ป้องกันไม่ให้กราฟท์หลุดออก ควรใช้ที่คาดศีรษะหรือหมอนรองคอรูปตัวยู เพื่อประคองให้แผลกระทบกับหมอนขณะหลับให้น้อยที่สุด และป้องกันการกดทับของแผลบริเวณท้ายทอย นอกจากนี้ควรนอนหมอนสูง และไม่นอนคว่ำ เพื่อลดอาการบวมและปวดแผลด้วย
การออกกำลังกาย
หลังการผ่าตัด ยังไม่ควรออกกำลังกาย หากร่างกายกระเทือนมากจากการออกกำลังกายอาจทำให้รากผมที่ปลูกหลุดออกได้ ดังนั้นหลังการผ่าตัดควรงดออกกำลังกายอย่างน้อย 1 สัปดาห์ ควรงดว่ายน้ำอย่างน้อย 1 เดือน เพราะแผลจากการปลูกผมเป็นแผลเปิด เสี่ยงต่อการติดเชื้อ ควรงดการซาวน่าและหลีกเลี่ยงการอยู่กลางแจ้งเนื่องจากความร้อนมีผลต่อรากผมที่ปลูกได้ไม่นาน
การใช้ชีวิตประจำวัน
การใช้ชีวิตประจำวันก็ต้องระมัดระวังไม่ให้กระเทือนเช่นกัน พยายามไม่ให้ศีรษะกระทบกระแทกกับของแข็ง รวมทั้งไม่ควรก้มศีรษะ ให้เปลี่ยนเป็นการย่อตัวลงแทน เพื่อป้องกันอาการบวมไม่ให้เลือดออกที่แผลปลูกผม ควรงดอยู่ในที่ๆ เป็นชุมชนแออัดหรือมีฝุ่นควันมาก เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
การทานอาหาร
หลังผ่าตัดอาจเกิดอาการคลื่นไส้อาเจียนได้ ควรรับประทานอาหารอ่อน หรือถ้ายังมีอาการอยู่ควรงดอาหารไปก่อน ควรงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิดหลังการผ่าตัด 48 ชั่วโมง เนื่องจากมีผลต่อการบวมของแผลปลูกผม
อาการบวมและคันหลังจากปลูกผม
การปลูกผมเป็นแผลเล็ก แต่สามารถทำให้เกิดอาการบวมและคันได้ อาการบวมหลังการปลูกผมจะหายเองใน 7 วัน สามารถใช้ที่ประคบเย็นประคบเพื่อลดอาการบวมได้ ส่วนอาการคันจะพบได้ 2-3 วันหลังการปลูกผม แต่ไม่ควรเกาหรือถูบริเวณแผล เนื่องจากกราฟท์จะหลุดออกมากับสะเก็ดผมได้ ควรลูบเบาๆ หรือทายาเพื่อลดอาการคัน
อาการผมร่วงหลังจากปลูกผม
ในช่วงแรกหลังจากปลูกผม 3-4 สัปดาห์ ผมในบริเวณที่ปลูกหรือบริเวณใกล้เคียงอาจหลุดร่วงได้ แต่ผมที่หลุดร่วงไปไม่ได้มีเซลล์รากผมหลุดตามไปด้วย เซลล์รากผมจะติดแน่นอยู่กับหนังศีรษะ รากผมจะอยู่ในระยะพักเป็นเวลา 3-4 เดือน หลังจากนั้นผมใหม่จะงอกกลับมาอย่างถาวร และผมจะงอกเต็มที่ที่เวลาหนึ่งถึงหนึ่งปีครึ่ง ถ้าเลยจากนี้คาดว่าจะไม่งอกเพิ่มแล้ว
คำถามที่พบบ่อย
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับปลูกผม FUE มีดังนี้
ปลูกผม FUE ใช้ระยะเวลาเท่าไร
ปลูกผม FUE ใช้ระยะเวลาในการผ่าตัดประมาณ 4-8 ชั่วโมง หรืออาจจะมากกว่านั้นได้ขึ้นอยู่กับจำนวนกราฟท์ที่ปลูก ส่วนเวลาพักฟื้น 3-4วัน ผู้เข้ารับการรักษาจะสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติหลังปลูกผม 1 เดือน จากนั้นผมจะค่อยๆ ร่วงและงอกใหม่จนเป็นปกติในระยะเวลา 1 ปี
ปลูกผม FUE อยู่ถาวรไหม
หลังปลูกผม FUE ผมจะอยู่อย่างถาวร เนื่องจากใช้เซลล์ต้นกำเนิดในการปลูกผม ทำให้ผมงอกได้ใหม่เรื่อยๆ แม้หลุดร่วงไปเหมือนกับผมจริง
ปลูกผม FUE เจ็บไหม
ปลูกผม FUE ไม่เจ็บในขั้นตอนการผ่าตัด เนื่องจากใช้ยาชาและยานอนหลับในขึ้นตอนการผ่าตัด แม้ยาชาและยานอนหลับจะหมดฤทธิ์หลังผ่าตัด แต่แผลผ่าตัดมีขนาดเล็ก ทำให้ไม่เจ็บมาก อาจจะมีอาการปวดระบม แต่จะหายไปเองในระยะเวลา 2-3 วัน แพทย์จะสั่งจ่ายยาแก้ปวดให้ทาน
ปลูกผม FUE ไม่ขึ้น ทำอย่างไร
ปลูกผม FUE ไม่ขึ้น เกิดได้หลายสาเหตุ เช่น การทานยาบางชนิด สูบบุหรี่ หรือดื่มแอลกอฮอล์ก่อนการผ่าตัด, โรคประจำตัว, การปลูกผมซ้ำ, การดูแลตัวเองหลังการผ่าตัด, หรือเครื่องมือและความชำราญของแพทย์ที่ใช้ผ่าตัด เป็นต้น
การปลูกผมไม่ขึ้นอาจจะเกิดจากสาเหตุเดียว หรือปัจจัยหลายอย่างร่วมกันก็ได้ ผู้ที่ปลูกผม FUE ไม่ขึ้นจึงควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทางเพื่อหาสาเหตุและแก้ไขปัญหาต่อไป
ทำไมต้องปลูกผม FUE ที่ Absolute Hair Clinic?
เพราะการปลูกผมให้ดูดี เป็นธรรมชาติตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ ย่อมดีกว่าการที่ต้องแก้หลายครั้ง
- ทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญสายตรงด้านเส้นผม ได้รับรางวัลระดับโลกมากมาย
- สามารถออกแบบแนวผมที่จะปลูก ให้ออกมาเป็นธรรมชาติ
- อุปกรณ์ที่ใช้นำเข้าจากต่างประเทศ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ได้รับการยอมรับระดับโลก
- หมอประสบการณ์สูง มั่นใจได้ว่าทำแล้ว ไม่ต้องแก้ทีหลัง
- หมอปลูกเองทุกเคส ไม่มีการปล่อยให้ทีมงานทำกันเอง
- รับรองประสิทธิภาพด้วยผลการศึกษาที่ได้รับการตีพิมพ์ใน วารสารทางการแพทย์ระดับโลก
สนใจติดต่อได้ที่
LINE: @Absolutehairclinic
โทร: 095-142-8241, 065-987-4666
เว็บไซต์: https://absolutehairclinic.com/
สรุปการปลูกผม FUE
การปลูกผม FUE เป็นการปลูกผมที่เป็นที่นิยมมากในปัจจุบัน เนื่องจากใช้เวลาพักฟื้นไม่นานมาก แผลมีขนาดเล็กจนแทบไม่เห็น โอกาสติดเชื้อน้อยมาก ผลลัพธ์ที่ออกมาดูเป็นธรรมชาติ ทั้งนี้ผู้สนใจควรศึกษาหาข้อมูลเพิ่มเติม หรือปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อขอคำแนะนำและเลือกวิธีการปลูกผมที่เหมาะกับตนเองที่สุดต่อไป
ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจาก Absolute Hair Clinic เพื่อเลือกวิธีการปลูกผมที่เหมาะกับคุณ