หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ต้องการรักษาอาการผมร่วง ผมบาง แต่ไม่รู้จะซื้อยาแก้ผมร่วงยี่ห้อไหนดี ไม่รู้ว่าช่วยได้จริงไหม มีผลข้างเคียงหรือเปล่า? หรือใช้ยามาสักระยะหนึ่งแล้วแต่ไม่ได้ผลเลย ที่ Absolute Hair Clinic เราจะให้คำแนะนำเกี่ยวกับยาแก้ผมร่วงในบทความนี้
ก่อนอื่นเราต้องทำความเข้าใจก่อนว่า การใช้ยาแก้ผมร่วงเป็นเพียงรักษาอาการผมร่วงในเบื้องต้นเท่านั้น บางคนเรียกว่ายาปลูกผม หรือยาแก้หัวล้าน ยาเหล่านี้ไม่สามารถปลูกผมหรือแก้อาการศีรษะล้านได้ ยาแก้ผมร่วงทำได้เพียงส่งเสริมการสร้างเส้นผมจากเซลล์รากผมที่ยังทำงานได้ และลดปัจจัยที่ทำให้ผมร่วงเท่านั้น
หากปัญหาหนังศีรษะของคุณมีค่อนข้างมาก ศีรษะล้าน เซลล์รากผมไม่สามารถถูกกระตุ้นให้สร้างเส้นผมได้อีกต่อไป ในขั้นนี้จำเป็นต้องรักษาด้วยการปลูกผมถาวรที่เรียกว่าปลูกผม FUE หรือปลูกผม FUT เท่านั้น
ยารักษาผมร่วง ยากินแก้ผมร่วง เป็นยาที่มีทั่วไปตามร้านขายยา หรือแม้กระทั่งในวัตสัน แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะเหมาะกับยาทุกตัว หากซื้อทานเองโดยไม่ปรึกษากับแพทย์เฉพาะทางก่อน อาจเกิดอันตราย เกิดผลข้างเคียง และยายังอาจรักษาไม่ได้ผลอีกด้วย ผู้ที่ต้องการทานยาแก้ผมร่วงจึงควรทราบเกี่ยวกับตัวยาก่อนในเบื้องต้น และต้องเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์ก่อนเลือกใช้ยาทุกครั้ง
สารบัญเนื้อหา
ยาแก้ผมร่วง มีอะไรบ้าง ?
ยาแก้ผมร่วงในปัจจุบันที่นิยมใช้ และได้รับการรับรองแล้วมี 3 ตัว ดังนี้
ยาไฟแนสเตอรายด์ (Finasteride)
ยาไฟแนสเตอรายด์ (Finasteride) เป็นยากินแก้ผมร่วง ยาแก้ผมบาง ที่นิยมใช้กันมายาวนานกว่า 10 ปี ใช้รับประทานวันละครั้ง ครั้งละ 1 – 1.25 มิลลิกรัม มีจำหน่ายทั่วไปโดยใช้ชื่อ 2 ชื่อ คือ
- โพรพีเชีย (Propecia) ขนาด 1 มิลลิกรัม
- โปรสการ์ (Proscar) ขนาด 5 มิลลิกรัม (ให้แบ่งรับประทานวันละหนึ่งส่วนสี่เม็ด)
ยาไฟแนสเตอรายด์ เป็นยาแก้ผมร่วงผู้ชาย ใช้ได้ในเฉพาะผู้ชายเท่านั้น เพราะยาตัวนี้จะทำงานโดยการลดอัตราการเปลี่ยนฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน ให้เป็น DHT ที่เป็นสาเหตุของอาการผมร่วง ถ้าใช้ในผู้หญิงนอกจากจะไม่เห็นผลแล้ว ยังมีผลข้างเคียงมาก ถ้าใช้ในหญิงตั้งครรภ์ก็จะทำให้ทารกพิการด้วย
ยาแก้ผมร่วงดังกล่าว ลดปริมาณ DHT ได้มากถึง 60% ทำให้ผมงอกใหม่ได้ดีขึ้น ผมหยุดร่วง ผู้ใช้ยาจะเริ่มเห็นผลหลังใช้ยาประมาณ 4 – 6 เดือน และจะเห็นผลชัดเจนหลังจากใช้ยา 1 ปีขึ้นไป
ยาไฟแนสเตอรายด์ เป็นยาแก้ผมร่วงที่ปลอดภัย มีประสิทธิภาพ ได้รับการรับรองให้ใช้เป็นยารักษาผมร่วงอย่างถูกต้อง ยาตัวนี้จะใช้รักษาได้ดีที่สุดในผู้ที่ผมบางระยะเริ่มต้น และระดับปานกลาง นอกจากนี้ยังใช้ได้ดีกับผู้ที่ปลูกผมถาวรมาก่อน ที่จะใช้ยาหลังปลูกผมอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ผมเยอะ และหนาในระยะยาว
ทั้งนี้ ยาไฟแนสเตอรายด์ก็มีผลข้างเคียงเช่นกัน คืออาจจะทำให้สมรรถภาพทางเพศลดลง ปริมาณน้ำอสุจิลดลง ถ้าหากหยุดยาจะกลับเป็นปกติ หรือถ้าใช้ยาไปสักระยะหนึ่ง เมื่อร่างกายปรับตัวได้ จะไม่เกิดผลข้างเคียงนี้ขึ้นอีก
ยาไมนอกซิดิวล์ (Minoxidil)
ยาไมนอกซิดิวล์ (Minoxidil) เป็นยาที่นิยมใช้เพื่อรักษาการผมร่วงจากกรรมพันธุ์ ยาจะทำงานโดยการขยายหลอดเลือด ให้เลือดไปเลี้ยงรากผมมากขึ้น ช่วยกระตุ้นการงอกของเส้นผม ชะลอการหลุดร่วงของเส้นผม และทำให้เส้นผมมีอายุขัยนานขึ้น เป็นยาแก้ผมบางแบบหนึ่งที่ใช้กันมาอย่างยาวนานถึง 15 ปี ใช้ได้ทั้งในผู้ชาย และผู้หญิง
บางคนอาจเรียกว่าเป็นยาแก้ผมร่วงสําหรับผู้หญิง เพราะเป็นยาตัวเดียวที่ปลอดภัย ได้รับการรับรองอย่างถูกต้อง และใช้เป็นยาแก้ผมร่วงในผู้หญิงได้
ยาไมนอกซิดิวล์มีรูปแบบต่างๆให้เลือกใช้ดังนี้
- ยาไมนอกซิดิวล์ แบบยาเม็ด ให้ทานวันละ 1 ครั้ง ครั้งละ 5 มิลลิกรัม
- ยาไมนอกซิดิวล์ แบบยาทา หรือเรียกว่าแบบโลชั่นก็ได้ ใช้ทาบริเวณที่ผมร่วง ผมบางวันละ 2 ครั้ง ซึ่งยาทานี้มี 2 แบบ แบ่งตามความเข้มข้นของตัวยา คือ 2% Minoxidil และ 5% Minoxidil
ซึ่งยาแก้ผมร่วงทั้งสองแบบนี้ ใครควรเลือกใช้แบบไหน อยู่ที่ว่าใช้แบบไหนแล้วได้ผลดีกว่า มีผลข้างเคียงหรือไม่
สำหรับยาไมนอกซิดิวล์ แบบเม็ด ผลข้างเคียงที่อาจพบได้คือ เกิดอาการบวมที่ใบหน้า แขน ขา เวียนหัว หรือหัวใจเต้นเร็ว นอกจากนี้ยังอาจทำให้ขนขึ้นที่ใบหู หรือทำให้ผมร่วงในช่วงแรกที่ใช้ยาได้ อาการเหล่านี้อาจเกิดแยก หรือเกิดร่วมกันก็ได้
ส่วนยาแก้ผมร่วงแบบทา ผลข้างเคียงคืออาจจะทำให้หนังศีรษะแห้งจากแอลกอฮอล์ที่ผสมอยูในยาทา ผลข้างเคียงโดยรวมจะน้อยกว่าแบบเม็ด เนื่องจากตัวยาถูกดูดซึมเข้าร่างกายน้อยกว่า ทำให้ยามีผลเฉพาะที่เท่านั้น และในผู้ชายสามารถใช้ได้แบบ5% Minoxidil 1ซีซีทาวันละ2ครั้ง
ส่วนในผู้หญิง ทั้ง 2% Minoxidil และ 5% Minoxidil ให้ผลแทบไม่ต่างกันเลย แต่ 5% Minoxidil อาจทำให้มีขนขึ้นที่ใบหน้าได้ แพทย์จึงมักแนะนำให้ใช้ตัว 2% มากกว่า
ยาไฟแนสเตอรายด์ (Finasteride) และยาไมนอกซิดิวล์ (Minoxidil) ที่กล่าวถึงไป เป็นยาแก้ผมร่วงที่จะต้องใช้อย่างต่อเนื่องอย่างน้อย 6 เดือนถึงจะเห็นผล และถ้าหยุดใช้ ผมก็จะกลับมาเป็นเหมือนเดิม ผมเส้นเล็ก ไม่ค่อยงอก ขาดร่วงง่าย ผู้ที่ต้องการแก้ผมร่วงบางคนอาจจะใช้ยาไม่ได้ผล บางคนก็ได้ผลดีเมื่อใช้ยาทั้งสองตัวด้วยกันก็มี
ดูทาสเตอรไรด์ (Dutasteride)
ดูทาสเตอรไรด์ (Dutasteride) เป็นยาที่เพิ่งมีได้ไม่นานนัก มีการทดลองใช้กันบ้างแล้ว ยาจะทำงานคล้ายกับยาไฟแนสเตอรายด์ คือจะลด DHT ที่เป็นฮอร์โมนต้นเหตุของอาการผมร่วงลง แต่ยาตัวนี้มีประสิทธิภาพมากกว่า เพราะลด DHT ลงได้ถึง 90%
ปัจจุบัน ในยุโรปอนุญาตให้ใช้ยาตัวนี้รักษาผมบางได้แล้ว แต่ในอเมริกา และในไทยยังไม่อนุญาต ผู้ที่เลือกใช้ยาตัวนี้ส่วนใหญ่จะซื้อยามารับประทานเอง โดยให้รับประทานวันละ 1 ครั้ง ครั้งละ 0.5 มิลลิกรัม
ยาแก้ผมร่วง ได้ผลจริงไหม
ยาแก้ผมร่วง ยากินรักษาผมร่วงได้ผลจริงไหม? คำตอบคือขึ้นอยู่กับการตอบสนองของยาในแต่ละบุคคล รวมทั้งสภาพเส้นผม หนังศีรษะในตอนใช้ยา และตำแหน่งที่ต้องการให้ผมหนาขึ้น ซึ่งผมส่วนที่มักใช้ยาไมได้ผล คือผมด้านหน้า
คนที่ใช้ได้ผลก็จะได้ผลดี ผมหนาขึ้นจริง ร่วงน้อยลงจริง และอาจจะไม่จำเป็นต้องรักษาอาการผมร่วง ผมบางด้วยวิธีอื่นเพิ่มเติม บางคนก็จำเป็นต้องใช้วิธีการรักษาอื่นร่วมด้วย เช่น การเลเซอร์ผม การทำ Fotona Laser หรือการฉีด PRP ผม
บางคนอาจจะใช้ยาแก้ผมร่วงไม่ได้ผลเลย เนื่องจากร่างกายไม่ตอบสนองกับยา หรือไม่เซลล์รากผมก็อาจจะเสื่อมจนไม่สามารถงอกผมได้แล้ว ถ้าเป็นกรณีนี้ ก็จำเป็นต้องแก้ด้วยการปลูกผมถาวรอย่างปลูกผม FUE หรือปลูกผม FUT เท่านั้น
บทความอ่านเพิ่มเติม : ความแตกต่าง ปลูกผม FUT กับ ปลูกผม FUE
ยาแก้ผมร่วง ที่ดีที่สุด
ไม่มียาตัวใด เป็นยาแก้ผมร่วงที่ดีที่สุด มีเพียงยาแก้ผมร่วงที่เหมาะกับคุณที่สุด ดังนั้นการซื้อยามาทานตามกระทู้ที่ถามว่าทานยาแก้ผมร่วงยี่ห้อไหนดี หรือการซื้อยาตามรีวิวยาแก้ผมร่วงในอินเตอร์เน็ต ไม่ใช่เรื่องที่ควรทำ ยาแต่ละตัว แก้อาการผมร่วงคนละต้นเหตุ ใช้กับคนละเพศ คนละสภาพผม
ดังนั้นควรปรึกษาแพทย์ทุกครั้งก่อนตัดสินใจใช้ยาแก้ผมร่วง เพื่อความปลอดภัย และเพื่อประสิทธิภาพสูงสุดในการรักษา
ยาแก้ผมร่วง เหมาะกับใครบ้าง
ยาแก้ผมร่วง เหมาะกับคนหลายกลุ่ม ดังนี้
- ผู้ที่มีปัญหาผมร่วง ผมบางจากกรรมพันธุ์ในช่วงเริ่มต้น ถึงปานกลาง หากศีรษะล้านจากพันธุกรรม หรือผมบางมากแล้ว อาจจะไม่สามารถรักษาได้ด้วยวิธีใช้ยาทา หรือยากินรักษาผมร่วง อาจจะต้องปลูกผมแทน
- ผู้ที่ผมร่วงจากปัญหาฮอร์โมนเพศ และยังมีรากผมที่สามารถงอกผมได้อยู่
- ผู้ที่มีปัญหาผมร่วงผมบางจากสาเหตุอื่นๆ ในช่วงเริ่มต้น ถึงปานกลาง
ผู้ที่กำลังปลูกผมด้วยวิธีอื่น และใช้การรับประทานยาเพื่อช่วยให้ผมขึ้น ไม่หลุดร่วงง่ายควบคู่ไปด้วย เช่น การทำ PRP ผม การทำเลเซอร์ LLLT โฟโตน่าเลเซอร์ ปลูกผม FUE ปลูกผม FUT เป็นต้น
ใครที่ไม่ควรใช้ยาแก้ผมร่วง
ผู้ที่ไม่ควรใช้ยาแก้ผมร่วง หรือผู้ที่ใช้ยาแก้ผมร่วงแล้วไม่สามารถรักษาอาการผมร่วง ผมบางได้ คือกลุ่มคนต่อไปนี้
- ผู้ที่มีปัญหาผมบาง ศีรษะล้านในระดับกลาง ถึงระดังรุนแรง
- ผู้ที่เซลล์รากผมเสื่อมสภาพจนผมไม่สามารถงอกได้แล้ว
- ผู้หญิง และผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ ควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทาง เพราะยาบางตัวมีผลข้างเคียงในผู้หญิง และส่งผลต่อทารกในครรภ์
- ผู้ที่กำลังจะเข้ารับการผ่าตัดปลูกผม FUE ปลูกผม FUT หรือปลูกคิ้วถาวร ในช่วงระยะเวลา 7 วัน
ข้อดีของยาแก้ผมร่วง
- เป็นการรักษาในระยะยาว แม้จะใช้เวลานาน แต่ก็สามารถทำได้เอง ไม่ต้องพบแพทย์บ่อย
- ไม่เจ็บตัว อาจมีผลข้างเคียงบ้าง แต่ไม่ได้จำเป็นต้องฉีดสาร หรือผ่าตัดเหมือนวิธีอื่นๆ
- ผู้ที่ตอบสนองกับยาได้ดีจะเห็นผลชัดเจน ผมขึ้นจริง แก้อาการผมร่วง ผมบางได้จริง ในระยะเวลา 6 เดือนขึ้นไป
ข้อจำกัดของยาแก้ผมร่วง
แม้จะมีข้อดีอยู่มาก แต่ยาแก้ผมร่วงก็มีข้อจำกัดตรงที่ ยาสามารถแก้อาการผมร่วงผมบางได้แค่อาการในระยะแรก และระยะกลาง ถ้าเป็นมากกว่านั้น ยาแก้ผมร่วงจะใช้ไม่ได้ผล นอกจากนี้ยาที่ใช้กันอยู่มากยังมีผลข้างเคียงอีกด้วย
ผลข้างเคียงของการใช้ยาแก้ผมร่วง
- ยาที่มีผลกับฮอร์โมน DHT อาจมีผลทำให้เสื่อมสมรรถภาพทางเพศได้พบได้น้อย2-3%
- ยาไมนอกซิดิวล์แแบบทานอาจทำให้เกิดอาการบวมบริเวณหน้า แขน ขา เวียนหัว หัวใจเต้นเร็ว พบได้น้อย
- ยาไมนอกซิดิวล์อาจทำให้ผมร่วงได้หลังจากเริ่มใช้3-4สัปดาห์เป็นการผลัดผมเก่าออกก่อน
- ยาทาแก้ผมร่วงมักมีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ อาจทำให้หนังศีรษะแห้งและคัน หรือบางคนหนังศรีษะเหนียวเหนอะนะ
การรักษาโดยวิธีการปลูกผมร่วมกับการใช้ยาแก้ผมร่วง
ผู้ที่มีปัญหาผมร่วง ผมบางเนื่องจากสาเหตุต่างๆ เมื่อพบแพทย์แล้ว แพทย์มักจะแนะนำให้รักษาหลายๆวิธีควบคู่กัน หากทำทั้งการรับประทานยาแก้ผมร่วง การปลูกผม หรือทำทรีทเมนต์อื่นๆร่วมด้วยก็จะสามารถแก้ปัญหาผมร่วง ผมบางได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
การวางแผนการรักษาด้วยการใช้ยาแก้ผมร่วงร่วมกับการปลูกผม
การใช้วิธีการรักษาทั้งสองวิธีร่วมกัน ทั้งปลูกผม และใช้ยาแก้ผมร่วง เป็นวิธีการที่ดี และมีประสิทธิภาพสูง แต่ในบางกรณี แพทย์ก็จะแนะนำให้หยุดใช้ยา และหันไปใช้การรักษาอื่นร่วมด้วยแทน เช่น
- ต้องดูว่าผู้เข้ารับการรักษาตอบสนองกับยาแก้ผมร่วงได้ดีหรือไม่ ยังผมร่วงอยู่หรือเปล่า มีผมงอกขึ้นมาบ้างไหม หากตอบสนองกับยาได้ดีก็สามารถใช้ต่อไปได้ แต่ถ้ายาไม่มีผลอะไรก็ควรให้หยุดใช้ แล้วหาวิธีอื่นทดแทน เนื่องจากจะทำให้ผู้เข้ารับการรักษาเสียเงิน และเสี่ยงเกิดผลข้างเคียงโดยใช่เหตุ
- การใช้ยาในการรักษาผมร่วงนั้น ผู้เข้ารับการรักษาจำเป็นต้องมีความสม่ำเสมอ และมีความอดทน เพราะกว่าจะเห็นผลก็ต้องใช้เวลาถึง 6 เดือน และหากลืมทานยาบ่อยๆ การรักษาก็จะไม่ได้ผล หรือหากผู้เข้ารับการรักษาหมดกำลังใจเพราะเห็นผลช้าเกินไป ในกรณีเหล่านี้แพทย์ก็จะให้หยุดใช้ยา และทำการรักษาอื่นที่จะเห็นผลชัดเจนกว่านี้ร่วมด้วยแทน
ปลูกผมแล้วต้องรับประทานยาอีกหรือไม่ ?
ปลูกผมแล้วต้องรับประทานยาอีกหรือไม่? คำตอบคือไม่ได้จำเป็นมากนัก แต่ถ้าทานได้ก็ทานจะดีกว่า เพราะแม้ผมที่เรานำมาปลูกจะเป็นผมส่วนท้ายทอยที่จะไม่หลุดร่วง หรือเสื่อมสภาพจากผลของฮอร์โมน แต่เราไม่มีทางรู้ว่าผมส่วนอื่นๆจะเสื่อมสภาพ และหายไปเมื่อไหร่
ดังนั้นการรับประทานยาแก้ผมร่วงหลังปลูกจึงเหมือนเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดผมร่วง ผมบางซ้ำอีก และยังช่วยทำให้ผมที่ปลูกไว้แข็งแรง งอกเร็ว ผมดูหนาขึ้น และหลุดร่วงน้อยกว่าเดิม
ผลลัพธ์ของการใช้ยาแก้ผมร่วง
ผลลัพธ์ของการใช้ยาแก้ผมร่วง คือหลังจากใช้ไปแล้วประมาณ 6 เดือน สภาพผมจะเริ่มดีขึ้น ผมงอกมากขึ้น แข็งแรงขึ้น มีผมอายุขัยที่นานขึ้น และจะเห็นผลได้ชัดเจนที่สุดภายใน 1 ปี ผมโดยรวมจะดูดกขึ้น ผมไม่กลับมาร่วง หรือบางลงอีก
ทั้งนี้ผลลัพธ์จะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ผู้สนใจใช้ยาควรปรึกษาแพทย์ทุกครั้งก่อนตัดสินใจ
รีวิว ยาแก้ผมร่วง
รีวิวยาแก้ผมร่วง ผลลัพธ์จากการใช้ยาแก้ผมร่วง ยากินแก้ผมร่วง ยากินรักษาผมร่วง หลังจากเข้ารับคำปรึกษากับแพทย์เฉพาะทางจาก Absolute Hair Clinic
ปรึกษาเรื่องการใช้ยาแก้ผมร่วง
ยาแก้ผมร่วงมีผลดี แต่ก็มีผลข้างเคียงอยู่เยอะมาก ทั้งยังมีความเสี่ยงที่จะไม่ได้ผลอีก ดังนั้นก่อนเริ่มใช้ยาทุกครั้งควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อหลีกเลี่ยงผลเสียเหล่านั้นให้ได้มากที่สุด
ที่ Absolute Hair Clinic เรามีที่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ที่จะคอยให้คำปรึกษาเกี่ยวกับเรื่องการใช้ยาแก้ผมร่วง การรักษาอาการผมร่วง ผมบาง แพทย์จากทางคลินิก จะเลือกวิธีการรักษาอาการผมร่วง ผมบางที่เหมาะสมที่สุดสำหรับคุณ
ปรึกษาแพทย์เฉพาะทางด้านเส้นผมจาก Absolute Hair Clinic ฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย ผ่านทาง LINE@Absolutehairclinic
คำถามที่พบบ่อย
ยาแก้ผมร่วง อันตรายไหม
ยาแก้ผมร่วงไม่อันตราย ถ้าปรึกษาแพทย์ก่อนการตัดสินใจใช้ยา ยาแก้ผมร่วงจะอันตรายก็ต่อเมื่อผู้ที่ต้องการใช้ยาซื้อยามาทานเอง โดยไม่รู้ผลข้างเคียง ปริมาณที่ควรใช้ และความถี่ที่เหมาะสม แม้จะรู้จักตัวยาแล้วก็ไม่ควรซื้อทานเอง ต้องปรึกษาแพทย์ก่อนทุกครั้ง
ยาแก้ผมร่วง ซื้อที่ไหน
ยาแก้ผมร่วงซื้อที่ไหน? สามารถหาซื้อได้ทั่วไปตามร้านขายยา โรงพยาบาล หรือคลินิกเกี่ยวกับเส้นผม แต่ก่อนเริ่มใช้ยา ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทุกครั้ง
ยาแก้ผมร่วง ราคาเท่าไหร่
ยาแก้ผมร่วง ราคามีตั้งแต่หลักร้อย ไปจนถึงหลักพัน ขึ้นอยู่กับปริมาณยา และยี่ห้อ ก่อนซื้อควรดูให้ดีว่าเป็นยา หรือเป็นอาหารเสริม หากซื้อตามร้านออนไลน์ สิ่งที่ขายอาจเป็นอาหารเสริมที่อาจไม่น่าเชื่อถือ หรือไม่สามารถทำให้ผมหนาขึ้นได้จริง
หากปรึกษาแพทย์แล้วต้องการซื้อยามารับประทาน ควรซื้อจากร้านขายยา หรือร้านอื่นๆที่มีเภสัชกรประจำอยู่จะดีกว่า
สรุปเรื่องยาแก้ผมร่วง
ยาแก้ผมร่วง ยากินแก้ผมร่วง ยากินรักษาผมร่วง เป็นการรักษาอาการผมร่วงผมบางขั้นเริ่มต้นที่ได้รับความนิยมอย่างมาก แม้แต่แพทย์เองก็แนะนำให้รักษาโดยการทานยาก่อนวิธีอื่น เนื่องจากเสียค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด ทำง่ายเพียงรับประทานยา ไม่เจ็บตัว ไม่ต้องพักฟื้น
แต่ถึงอย่างนั้น ยาแก้ผมร่วงก็มีผมข้างเคียง และความเสี่ยงอยู่มาก ผู้ที่ต้องการใช้ยาจึงควรปรึกษาแพทย์ก่อนการตัดสินใจ
ปรึกษาแพทย์เฉพาะทางด้านเส้นผมจาก Absolute Hair Clinic ได้ที่ ติดต่อเรา