ผมบาง ผมร่วงจนหัวล้าน เป็นสิ่งที่ไม่ว่าใครก็คงจะไม่อยากให้เกิดขึ้นตนเอง แต่อย่างไรก็ตามการที่บางคนจะมีอาการเหล่านี้ส่วนมากมักเกิดจากกรรมพันธุ์ ยิ่งไปกว่านั้นทั้งปัจจัยของยีนหัวล้านและฮอร์โมนเพศชาย DHT จึงทำให้พบหัวล้านกรรมพันธุ์ในเพศชายมากกว่าในเพศหญิง ทำให้การแก้ปัญหานี้จึงแก้ด้วยการปรับพฤติกรรมภายนอกเพียงอย่างเดียวก็คงจะไม่ได้ผล
ผู้ที่ผมบาง หัวล้าน อาจต้องปรับตั้งแต่ฮอร์โมนในร่างกาย แพทย์มักจะแนะนำให้ใช้ยา Finasteride ในการรักษาอาการผมบาง หัวล้านจากกรรมพันธุ์ แต่ยา Finasteride คืออะไรมีผลอย่างไรกับการรักษา แล้วยา Finasteride ผลข้างเคียงอันตรายหรือไม่ ในบทความนี้ทาง Absolute Hair Clinic จะมาอธิบายเกี่ยวกับการใช้ยาฟีนาสเตอไรด์ให้เข้าใจได้ง่าย ๆ
สารบัญบทความ
ยา Finasteride คืออะไร
ยา Finasteride (ฟีนาสเตอไรด์) คือยาที่ใช้รักษาโรคต่อมลูกหมากโตในเพศชาย นอกจากนี้ยังสามารถนำมารักษาภาวะผมร่วง ผมบาง หัวล้านกรรมพันธุ์ ได้อีกด้วย โดยตัวยา Finasteride จะไปออกฤทธิ์การยับยั้งการสร้างฮอร์โมนเพศชาย DHT (Dihydrotestosterone) ซึ่งฮอร์โมนตัวนี้เป็นตัวการที่ทำให้เกิดภาวะผมบาง ผมร่วง หัวล้านนั่นเอง
รายละเอียดยา ฟีนาสเตอไรด์ (Finasteride)
- ชื่อสารสำคัญ ฟีนาสเตอไรด์ (Finasteride)
- กลุ่มยา Drugs for benign postatic hyperplasia, 5-alpha reductase inhibitors
- ประเภทยา ยาอันตราย ใช้ตามแพทย์สั่ง
- สรรพคุณ รักษาโรคต่อมลูกหมากโต, รักษาภาวะผมร่วง ผมบาง หัวล้านกรรมพันธุ์ในเพศชาย
- ผลข้างเคียง หย่อนสมรรถภาพทางเพศ, อาการทางจิตเวช (ซึมเศร้า)
- ข้อห้ามใช้ ห้ามใช้ในเพศหญิงวัยเจริญพันธุ์
- รูปแบบ/ขนาดของยา ใช้รับประทาน (ยาเม็ด) / ขนาด 1 มิลลิกรัมและขนาด 5 มิลลิกรัม
สรรพคุณของยา Finasteride
ยา Finasteride มีสรรพคุณในการใช้รักษาภาวะผมบาง ผมร่วง หัวล้านกรรมพันธุ์แล้ว ยังสามารถรักษาโรคต่อมลูกหมากโตในเพศชายได้เช่นเดียวกัน แต่มีการใช้ขนาดยาที่แตกต่างกัน ดังนี้
1. ยา Finasteride 1 mg
ยา Finasteride ขนาด 1 มิลลิกรัมมักใช้สำหรับรักษาภาวะผมร่วง ผมบาง หัวล้าน โดยระหว่างการรักษา เพื่อให้การออกฤทธิ์ของ Finasteride เป็นไปอย่างสมบูรณ์ ผู้เข้ารับการรักษาจำเป็นต้องรับประทานยา Finasteride อย่างต่อเนื่อง
โดยจะเริ่มเห็นผลหลังรับประทานยา Finasteride ไปแล้วอย่างน้อย 3 เดือน และจะเห็นผลอย่างชัดเจนเมื่อใช้ยา Finasteride ไปแล้วอย่างน้อย 1 ปี แต่เมื่อใดที่หยุดใช้ยา Finasteride ก็จะมีโอกาสกลับมาผมร่วง ผมบาง หรือหัวล้านอีกครั้ง
2. ยา Finasteride 5 mg
ยา Finasteride ขนาด 5 มิลลิกรัมมักใช้สำหรับรักษาโรคต่อมลูกหมากโตในเพศชาย โดยผู้ป่วยจะต้องใช้ยา Finasteride ขนาด 5 มิลลิกรัมต่อวันไปอย่างน้อย 3-6 เดือนขึ้นไป
นอกจากสรรพคุณหลักที่ยา Finasteride 5 mg รักษาต่อมลูกหมากโตแล้วยังมีการใช้เพื่อรักษาภาวะผมร่วง ผมบางเช่นกัน แต่ในความเป็นจริงแล้วตัวยา Finasteride 1 mg ก็เพียงพอที่จะใช้รักษาภาวะผมร่วง ผมบางได้แล้ว นอกจากนี้การใช้ Finasteride 5 mg เพื่อรักษาภาวะผมร่วงยังเป็นอันตรายจากผลข้างเคียงที่มากขึ้นอีกด้วย
สามารถแบ่ง4ส่วนแล้วรับประทาน1/4เม็ดได้
ยา Finasteride กับการรักษาผมร่วง
ก่อนอื่นเราควรทราบว่าสาเหตุของภาวะผมร่วง ผมบาง หัวล้านจากกรรมพันธุ์นั้นคืออะไร เพื่อให้เข้าใจถึงหลักการทำงานของตัวยา Finasteride ง่ายขึ้น
ภาวะผมร่วง ผมบาง หัวล้านโดยส่วนใหญ่มักถูกกำหนดมาตั้งแต่ระดับพันธุกรรม โดยยีนที่ทำให้เกิดหัวล้านจะอยู่กับโครโมโซม X สำหรับเพศหญิงที่มีโครโมโซม XX ถ้าจะให้ยีนหัวล้านแสดงออกมาจำเป็นต้องมียีนหัวล้านบนโครโมโซม X ทั้งสองตัว จึงจะแสดงอาการหัวล้าน แต่กลับกันในเพศชายที่มีโครโมโซม XY หากโครโมโซม X ตัวนั้นมียีนหัวล้านอยู่ก็สามารถแสดงอาการหัวล้านออกมาได้ทันที
ในเพศชายมักจะมีฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน (Testosterone) ที่สร้างจากอัณฑะและต่อมหมวกไต เมื่อเจอ 5-Alpha reductase ซึ่งเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา จะเปลี่ยนให้เทสโทสเตอโรนเป็น Dihydrotestosterone หรือ DHT นั่นเอง ซึ่งฮอร์โมน DHT นี้เป็นฮอร์โมนเพศชายที่ทำหน้าที่กระตุ้นส่วนต่าง ๆ ในร่างกายให้ดูสมความเป็นชาย เช่น เสียงแตกหนุ่ม การเจริญของอวัยวะเพศ การเกิดขนบนร่างกาย
แต่อย่างไรก็ตาม ในเพศชายที่มียีนหัวล้าน DHT ก็จะไปจับกับตัวรับฮอร์โมนเพศชายที่อยู่ในเซลล์รากผม ทำให้ขนาดของรูขุมขนแคบอุดตัน และไปยับยั้งกระบวนการสร้างเส้นผมใหม่ ทำให้เส้นผมบางและเล็กลงเรื่อย ๆ จนเกิดหัวล้านในที่สุด
ยา Finasteride มีหน้าที่เข้าไปยับยั้งการเร่งปฎิกิริยา ไม่ให้ฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนกลายเป็น DHT ได้มากจนเกินไป เมื่อไม่มี DHT ซึ่งเป็นตัวการที่ทำให้เกิดผมร่วง หัวล้าน กระบวนการสร้างเส้นผมก็จะยังดำเนินไปตามปกตินั่นเอง
ผลข้างเคียงของยา Finasteride
- ด้วยตัวยาที่มีผลทำให้ฮอร์โมนเพศชายถูกยับยั้ง จึงส่งผลให้เกิดการหย่อนสมรรถภาพทางเพศได้ เช่น การแข็งตัวของอวัยวะเพศชาย ความต้องการทางเพศลดลง การหลั่งอสุจิมีปริมาณลดลง แต่หากหยุดใช้ยา Finasteride ผลข้างเคียงนี้ก็จะหายไปภายใน 1 เดือนหลังหยุดใช้ยา
- เต้านมขนาดใหญ่ขึ้น รู้สึกเจ็บ คัดเต้านม หรืออาจมีสารคัดหลั่งออกมาจากเต้านม
- เจ็บบริเวณอัณฑะ
- ค่าการทำงานของตับผิดปกติ
- อาการแพ้ยา เช่น อาการบวมที่หน้า ปาก เกิดผื่นคัน
- อาการทางจิตเวช (ซึมเศร้า)
เปรียบเทียบยา Finasteride กับ Minoxidil
ในปัจจุบันยารักษาผมร่วงที่ได้รับการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (FDA-Food and Drug Administration) มี 2 ชนิดคือ Minoxidil และ Finasteride โดยตัวยาทั้งสองชนิดให้ผลลัพธ์คือเพิ่มจำนวนเส้นผมหรือขนได้ แต่อย่างไรก็ตามยาทั้งสองตัวนี้มีกลไกการออกฤทธิ์ รวมถึงลักษณะการใช้งานที่แตกต่างกัน ดังนี้
Finasteride | Minoxidil | |
การใช้งาน | ยาเม็ดสำหรับรับประทาน | แบบยาเม็ดสำหรับรับประทาน แบบน้ำ สเปรย์ โฟมสำหรับใช้ภายนอก |
กลไกการออกฤทธิ์ | ป้องกันการผลิตฮอร์โมน Dihydrotestosterone ในเพศชาย ซึ่งฮอร์โมนนี้จะไปทำให้เส้นผมฝ่อลง จนเกิดผมร่วง หัวล้าน | ขยายหลอดเลือดเพื่อให้เลือดนำสารอาหารมาหล่อเลี้ยงรากผมดีขึ้น |
การรักษา | รักษาได้ในผู้ชายที่ผมร่วง หัวล้านจากกรรมพันธุ์ | รักษาอาการผมร่วงจากโรคผิวหนัง หรือโรคอื่น ๆ ความเครียด หรือจากกรรมพันธุ์ |
ข้อจำกัด | ได้ผลเฉพาะเพศชายเท่านั้น (เนื่องจากตัวยาจะส่งผลต่อฮอร์โมนที่พบในเพศชาย)
ห้ามใช้กับเพศหญิงเด็ดขาด (ตัวยาส่งผลให้อวัยวะเพศของทารกในครรภ์เกิดความผิดปกติขึ้น) |
ในรูปแบบกิน อาจทำให้เกิดขนในบริเวณที่ไม่ต้องการให้เกิด
ในรูปแบบทา อาจเหนียวเหนอะหนะ ไม่สบายศีรษะขณะใช้งาน อาจเกิดคราบขาวคล้ายรังแค หรืออาการคันจากการระคายเคือง |
การจำหน่าย | จำเป็นต้องมีใบสั่งยา | หาซื้อได้โดยไม่ต้องใช้ใบสั่งยา(โลชั่น) |
ข้อแตกต่างยา Finasteride กับ Dutasteride
ในหัวข้อที่ผ่านมาคุณคงได้ทราบกันไปแล้วว่า Finasteride คืออะไร กันไปแล้ว แต่ทั้งนี้ยังมียา dutasteride ที่มีฤทธิ์ในการยับยั้งการสร้างฮอร์โมนเช่นเดียวกัน ดังนั้นหลายคนสับสนว่ายา 2 ชนิดนี้มีความแตกต่างกันอย่างไร ซึ่งเรามีคำตอบมาให้คุณแล้ว
- เรื่องของการยับยั้งการสร้างฮอร์โมน
สิ่งที่สามารถบอกความแตกต่างของยา Finasteride กับ Dutasteride ได้ดีที่สุด คือความสามารถในการยับยั้งการสร้างเอนไซม์ 5-alpha reductase โดยเอนไซม์นี้จะมีหน้าที่สร้างฮอร์โมน dihydrotestosterone (DHT) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ทำให้ผมร่วงในผู้ชายนั่นเอง
โดยยา finasteride จะมีฤทธิ์ในการยับยั้งฮอร์โมน 5-alpha reductase เป็นร้อยละ 70 ของเอนไซม์ทั้งหมด ส่วนยา dutasteride สามารถยับยั้งฮอร์โมนได้มากกว่ายา finasteride ร้อยละ 20 นั้นหมายความว่ายา dutasteride สามารถยับยั้งฮอร์โมนได้ถึง 90% เลยทีเดียว
- ผลลัพธ์ระหว่างการใช้ยาทั้งสองชนิด
ได้มีการยืนยันจากทีมแพทย์แล้วว่า ยา dutasteride สามารถช่วยเรื่องผมบางได้ดี อีกทั้งยังมีงานวิจัยเปรียบเทียบการใช้ยาทั้งสองชนิดนี้กับคนไข้กว่า 917 คน พบว่าทั้งยา Finasteride กับ Dutasteride ช่วยรักษาอาการผมร่วงผมบางได้เป็นอย่างดี
โดยเฉพาะกลุ่มที่ได้รับยา dutasteride หลังผ่านไป 24 สัปดาห์ พบว่าเส้นผมของพวกเขาขึ้นมากกว่าและเส้นใหญ่กว่า กลุ่มผู้ที่ได้รับยา Finasteride เสียอีก
ยา Finasteride เหมาะกับใครบ้าง
ด้วยกลไกการทำงานของยา Finasteride ที่ไปยับยั้งการเร่งปฏิกิริยาของฮอร์โมนในเพศชาย จึงทำให้การใช้ยา Finasteride นี้เหมาะและให้ผลดีกับเพศชายที่มีปัญหาผมร่วง ผมบาง หัวล้านจากกรรมพันธุ์
แต่อย่างไรก็ตามยาปลูกผม Finasteride จะให้ผลที่ดีกว่าเมื่อเริ่มกินตั้งแต่เริ่มมีอาการผมร่วง หากปล่อยไว้จนหัวล้านแล้วค่อยใช้ยาปลูกผม Finasteride จะทำให้เห็นผลการรักษาที่ช้ากว่า
ใครที่ไม่ควรใช้ยา Finasteride
- เพศหญิงที่อยู่ในวัยเจริญพันธุ์ เพศหญิงที่ตั้งครรภ์และมีแผนจะตั้งครรภ์ ห้ามใช้และสัมผัสยา Finasteride โดยเด็ดขาด เนื่องจากอาจทำให้ทารกในครรภ์มีความผิดปกติเกี่ยวกับระบบสืบพันธุ์ หรือภาวะเพศกำกวม (Ambiguous genitalia)
- ผู้ที่เป็นโรคตับ และมีความผิดปกติในการทำงานของตับ เพราะยา Finasteride มีผลข้างเคียงทำให้ค่าทำงานของตับมีความผิดปกติได้
ข้อควรรู้ก่อนใช้ยา Finasteride
- การใช้ยา Finasteride ไม่ได้เป็นการรักษาภาวะผมร่วง ผมบาง หัวล้านอย่างถาวร เมื่อหยุดยาก็ยังมีโอกาสกลับไปเกิดภาวะเดิมอีกครั้ง เนื่องจากไม่มีตัวยา Finasteride ที่ไปยับยั้งการเกิด DHT ได้
- ผลลัพธ์หลังใช้ยาขึ้นอยู่กับบุคคล แต่หากท่านใช้ยา Finasteride ติดต่อกันมานานกว่า 1 ปีแล้วยังไม่เห็นการเปลี่ยนแปลง ควรเข้าปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุและวางแผนการรักษาใหม่อีกครั้ง
- Finasteride ยาอันตราย ไม่ควรใช้โดยไม่มีคำแนะนำจากแพทย์หรือเภสัช
- ยังไม่พบผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายหากมีการใช้ยา Finasteride ในระยะยาว แต่อย่างไรก็ตามไม่ควรใช้ยา Finasteride เป็นระยะเวลานานตลอดไป ควรใช้ตามการดูแลของแพทย์เท่านั้น
- หากมีประวัติการแพ้ยาควรแจ้งให้แพทย์ทราบ
- ผู้ที่มีประวัติการเจ็บป่วยทางสุขภาพควรแจ้งให้แพทย์ทราบ เช่น โรคตับ การติดเชื้อโรค ปัญหาเกี่ยวกับการปัสสาวะ และมะเร็งต่อมลูกหมาก เป็นต้น
- ยา Finasteride ใช้ได้ในเฉพาะผู้ชายเท่านั้น ห้ามใช้กับสตรีมีครรภ์หรือสตรีให้นมบุตรโดยเด็ดขาด เพราะอาจส่งผลให้อวัยวะเพศชายของเด็กในครรภ์ผิดปกติได้
- สตรีมีครรภ์และสตรีให้นมบุตรควรหลีกเลี่ยงสัมผัสยา Finasteride เพราะหากตัวยาซึมผ่านผิวหนัง อาจทำให้อวัยวะเพศชายของเด็กทารกในครรภ์มีความผิดปกติได้
- ยา Finasteride สามารถเพิ่มความเสี่ยงการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมากชนิดรุนแรง หรือมะเร็งเต้านมในผู้ชายได้ ดังนั้นควรมีการปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนใช้ยาชนิดนี้
- หากผู้ป่วยที่กำลังใช้ยานี้ต้องผ่าตัด หรือทำทันตกรรม ควรแจ้งให้แพทย์ทราบล่วงหน้า
- ขณะที่ใช้ยานี้ แพทย์อาจแนะนำให้ผู้ป่วยตรวจหามะเร็งต่อมลูกหมากเป็นระยะ ๆ
- ในระหว่างใช้ยานี้ งดการดื่มแอลกอฮอล์ ยา หรือสมุนไพรที่มีฤทธิ์ต่อตับ
วิธีใช้ยา Finasteride
Finasteride กินตอนไหน กินอย่างไรถึงให้ผลดีและปลอดภัย ผู้ที่เลือกใช้ยา Finasteride ในการรักษาภาวะผมร่วง ผมบาง ควรใช้ยา Finasteride ขนาด 1 มิลลิกรัม ครั้งละ 1 เม็ด วันละ 1 ครั้งก่อนนอน หรือเวลาเดิมในทุก ๆ วัน กินยา Finasteride ต่อเนื่องตามคำแนะนำของแพทย์เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี และเพื่อความปลอดภัย ไม่ควรเพิ่มขนาดยาด้วยตนเอง ให้ใช้ยาในปริมาณเฉพาะตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด
ต้องใช้ยา Finasteride นานแค่ไหนจึงจะเห็นผล
ถ้าต้องการใช้ยา Finasteride ให้เห็นประสิทธิภาพสูงสุด ควรใช้อย่างต่อเนื่องประมาณ 6-12 เดือน ในกรณีที่คนไข้ลืมใช้ยาก็สามารถใช้ได้ทันเมื่อนึกขึ้นได้ โดยไม่จำเป็นต้องเพิ่มปริมาณยาเป็นสองเท่า
ส่วนกรณีที่คนไข้หยุดใช้ยาเอง ควรต้องมีการแจ้งให้แพทย์ทราบ เพราะการหยุดใช้ยากระทันหันสามารถส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อการตรวจหาสารบ่งชี้มะเร็งในต่อมลูกหมาก อย่างไรก็ตามคนไข้ที่ทานยา Finasteride มากเกินไปอาจทำให้เกิดอาการหมดสติ หรือมีปัญหาทางด้านการหายใจ ต้องส่งไปโรงพยาบาลโดยด่วน
ยา Finasteride ราคาเท่าไหร่
ยา Finasteride ขนาด 1 มิลลิกรัมสำหรับรักษาอาหารผมร่วงราคาจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับยี่ห้อและสถานที่จัดจำหน่าย โดย Finasteride ราคาจะอยู่ในช่วงประมาณ 300-1200 บาทต่อแผง โดยจะซื้อยา Finasteride ได้จะต้องมีใบสั่งยาจากแพทย์ หรือแพทย์เป็นผู้จัดยาให้เท่านั้น
ทางเลือกรักษาผมร่วงนอกจากการใช้ยา Finasteride
การรักษาผมร่วงมีวิธีการรักษาอื่น ๆ นอกจากการใช้ยา Finasteride โดยการเกิดผมร่วงนั้นมีสาเหตุและปัจจัยที่แตกต่างกันทำให้มีวิธีแก้ผมร่วงที่หลากหลาย ดังนี้
1. การปรับพฤติกรรม
หากสาเหตุของอาการผมร่วงไม่ได้เกิดจากกรรมพันธุ์ แต่เกิดจากปัจจัยอื่นอย่างเช่นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เช่น การดูแลความสะอาดของผมและหนังศีรษะ การรับประทานอาหารไม่ถูกสุขลักษณะ หรือความเครียด ปัจจัยเหล่านี้ก็สามารถทำให้เกิดอาการผมร่วงได้เช่นกัน
การแก้ไขปัญหาผมร่วงจากพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมสามารถแก้ได้โดยการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ยกตัวอย่างเช่น
- การสระผมอย่างถูกวิธี ไม่ควรสระผมบ่อยเกินไปหรือนาน ๆ ทีสระผม เพราะพฤติกรรมนี้จะทำให้น้ำมันบนหนังศีรษะเสียความสมดุลไป ทำให้หนังศีรษะอ่อนแอและเกิดอาการผมร่วงได้
- การรับประทานอาหาร ควรรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะอาหารบำรุงผมและหนังศีรษะ เช่น อาหารที่มีโอเมก้า 3 วิตามินและแร่ธาตุต่าง ๆ ช่วยบำรุงให้รากผมและหนังศีรษะแข็งแรง ไม่เกิดผมร่วงได้ง่าย
- หลีกเลี่ยงความเครียด ในบางคนที่มีความเครียดอาจมีพฤติกรรมดึงผมตัวเอง หากลดความเครียดและลดพฤติกรรมนี้ได้ อาการผมร่วงก็จะลดลง
2. การรักษาแบบทางเลือก
นอกจากการใช้ยาแก้ผมร่วงแล้ว ยังมีวิธีรักษาแบบอื่น ๆ ที่ช่วยแก้ปัญหาผมร่วงผมบางได้เช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น
- การฉีดเกล็ดเลือดเข็มข้น Platelet Rich Plasma
การทำ PRP ผม นำเลือดของผู้เข้ารับการรักษามาปั่นเหวี่ยงเพื่อนำเฉพาะเกล็ดเลือดที่อุดมไปด้วยสารอาหารที่จำเป็นต่อการสร้างผม จากนั้นจะนำเกล็ดเลือดของผู้เข้ารับการรักษาที่แยกออกมาแล้วฉีดเข้าไปที่หนังศีรษะ เมื่อหนังศีรษะได้รับเกล็ดเลือดที่มีสารอาหารมากพอ ก็จะช่วยให้รากผมได้รับสารอาหารมากขึ้น และทำให้เกิดการสร้างผมขึ้นมาใหม่ได้
- ฉีดสเต็มเซลล์ผม (Rigenera Activa)
การฉีดสเต็มเซลล์ผม จะคล้ายกับการทำ PRP ผม แต่เปลี่ยนจากเกล็ดเลือดของผู้เข้ารับการรักษา เป็นเซลล์ที่สกัดจากรากผมและน้ำเกลือแทน เมื่อฉีดเข้าไปที่หนังศีรษะจะช่วยให้ผมแข็งแรงขึ้น และลดการทำงานของฮอร์โมนที่ส่งผลให้เกิดอาการผมร่วงอีกด้วย
- การใช้เลเซอร์รักษาผมร่วง
เลเซอร์ที่ช่วยรักษาผมร่วง ได้แก่ Fotona laser และ LLLT โดยเลเซอร์จะไปช่วยกระตุ้นรากผม ช่วยให้เซลล์บริเวณนั้นทำงานดีขึ้น ผมแข็งแรง ไม่ร่วงง่าย และยังช่วยให้ระบบหมุนเวียนเลือดดีขึ้นในบริเวณที่ทำเลเซอร์อีกด้วย
3. ศัลยกรรมปลูกผมถาวร
วิธีแก้ไขปัญหาผมร่วง ผมบางจนหัวล้านวิธีสุดท้าย หากท่านผ่านการรักษาวิธีอื่น ๆ มาแล้วก็ยังไม่ได้ผลลัพธ์ที่พึงพอใจ แพทย์อาจแนะนำให้ทำการปลูกผม การปลูกผมถาวรเป็นการศัลยกรรมผ่าตัด ซึ่งสามารถแก้ปัญหาผมร่วงได้อย่างถาวร ไม่กลับมาผมร่วงผมบางอีก
โดยปัจจุบันมีเทคโนโลยีปลูกผมถาวรอย่างปลูกผม FUE และ ปลูกผม FUT โดยผู้เข้ารับการรักษาและแพทย์สามารถพิจารณาเลือกแนวทางการรักษาได้จากสภาพเส้นผมและหนังศีรษะ งบประมาณและความพึงพอใจ
ปรึกษาปัญหาผมร่วง ศีรษะล้าน กับ Absolute Hair Clinic
หากท่านเป็นหนึ่งในผู้ที่มีปัญหาผมร่วง ผมบางและอยากหาวิธีรักษาที่ผลลัพธ์ดีและเหมาะสมกับท่าน ที่ Absolute Hair Clinic คลินิกเชี่ยวชาญทางด้านเส้นผม มีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเส้นผมและหนังศีรษะที่มากประสบการณ์ คอยให้คำปรึกษาและแก้ไขปัญหาสุขภาพเส้นผมและหนังศีรษะของท่าน
นอกจากนี้ยังมีทางเลือกการรักษาที่หลากหลายให้ผู้เข้ารับการรักษาได้เลือก ไม่ว่าจะเป็นการรักษาโดยใช้ยา Minoxidil, Finasteride หรือการรักษาด้วยทางเลือกอื่น ๆ อย่างการทำ PRP ผม ฉีดสเต็มเซลล์ผม เลเซอร์รักษาผมร่วง หรือการปลูกผมถาวร และมั่นใจได้ว่าสถานที่รักษามีความสะอาด ปลอดภัย และยังเดินทางสะดวกอีกด้วย
ข้อสรุป
ยา Finasteride รักษาโรคต่อมลูกหมากโตในเพศชาย และยังสามารถใช้รักษาอาการผมร่วง ผมบางและหัวล้านกรรมพันธุ์ได้ด้วยกลไกการออกฤทธิ์ของยา Finasteride ที่จะไปยับยั้งการเกิดการเร่งปฏิกิริยาการเกิดฮอร์โมน DHT ซึงเป็นตัวการที่ทำให้เกิดผมร่วง ผมบาง หัวล้านได้ แต่อย่างไรก็ตามยา Finasteride เป็นยาอันตรายที่ต้องใช้ตามคำแนะนำของแพทย์เท่านั้น และยังจำเป็นต้องใช้ยาต่อเนื่องเป็นเวลานานเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี
หากท่านมีข้อสงสัย อยากขอคำปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ทาง Absolute Hair Clinic ยินดีให้บริการ ท่านสามารถส่งข้อความหรือรูปเข้ามาปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายได้ที่ Line: @Absolutehairclinic